วันพุธที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2568

“เฟมินิสต์ทางเลือก” (Choice Feminism) คืออะไร?

 บทความนี้คือความคิดเห็นส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน


“เฟมินิสต์ทางเลือก” (Choice Feminism) คืออะไร? ต่างกับเฟมินิสต์สายอื่นตรงไหน?


บทความนี้จะใช้คำว่า “เฟมินิสต์” แทนคำว่า “สตรีนิยม” ที่เป็นคำแปลไทยโดยตรงของคำว่า “Feminism” เพื่อให้อ่านง่ายและกันความสับสน


ที่จริงคำว่า “เฟมินิสต์” (Feminist) คือ คนที่นิยมความคิดแนวเฟมินิสม์ ส่วน “เฟมินิสม์” (Feminism) คือ แนวคิดเชิงสตรีนิยมซึ่งเป็นนามธรรม เพื่อป้องกันความสับสนในบทความนี้จึงขอใช้คำว่า “เฟมินิสต์” ทั้งหมด



ที่จริงหัวข้อนี้มาจากบทสนทนาที่เคยคุยกับเพื่อนออนไลน์ชาวต่างชาติคนหนึ่งที่ไม่เข้าใจความหมายของ “เฟมินิสต์ทางเลือก” (Choice Feminism) ประกอบกับฉันสังเกตว่ายังมีหลายคนเข้าใจผิดคิดว่าเฟมินิสต์ที่เห็นตามสื่อฯ คือเฟมินิสต์เหมือนๆ กันหมดซึ่งพอมีเฟมินิสต์ให้ความเห็นขัดกันกับเฟมินิสต์คนอื่นก็จะรู้สึกขำว่า “พวกเฟมินิสต์นี่วันก่อนพูดอย่างวันนี้พูดอีกอย่างตกลงจะเอายังไงกันแน่” ฉันจึงเขียนบทความนี้ขึ้นมาเพื่อสรุปง่ายๆ ให้เข้าใจได้ว่าที่จริงแล้วเฟมินิสต์มีกี่ประเภทและ “เฟมินิสต์ทางเลือก” คืออะไร


เฟมินิสต์ (Feminism - แนวคิดสตรีนิยมที่เชื่อในเรื่องความเท่าเทียมกันระหว่างสตรีและบุรุษ) ในปัจจุบันแบ่งคร่าวๆ ออกเป็น 3 สายหลัก คือ เฟมินิสต์สายฐานราก (Radical feminism) , เฟมินิสต์สายเสรีนิยม (Liberal feminism) , และ เฟมินิสต์สายสังคมนิยม (Socialist (Marxist) feminism)



เฟมินิสต์สายฐานราก (Radical feminism) หรือรู้จักกันในชื่ออื่นว่า “สตรีนิยมหัวรุนแรง” หรือ “สตรีนิยมสายสุดโต่ง” คือแนวคิดที่เชื่อว่าระบอบปิตาธิปไตย (Patriachy - ระบบสังคมแบบชายเป็นใหญ่) คือรากฐานของการกดขี่ที่เพศหญิงต้องเผชิญทั้งหมด ทางเดียวที่จะสร้างความเท่าเทียมทางเพศได้คือต้องโค่นล้มระบอบปิตาธิปไตยเท่านั้น


เฟมินิสต์สายเสรีนิยม (Liberal feminism) คือแนวคิดที่เชื่อว่าผู้หญิงควรได้รับความเท่าเทียมกันกับผู้ชายในทุกด้าน ผ่านการปฏิรูป (Reform) ระบบที่มีอยู่โดยใช้กลไกทางกฎหมายและการเมืองเป็นหลัก



เฟมินิสต์สายสังคมนิยม (Socialist (Marxist) feminism) คือแนวคิดที่เชื่อว่าระบอบปิตาธิปไตยและระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม (Capitalism) มีส่วนร่วมกันในการกดขี่ผู้หญิงเพราะความยากจนทำให้ผู้หญิงไม่อาจเป็นอิสระจากระบอบปิตาธิปไตยได้ การจะปลดปล่อยผู้หญิงให้เป็นอิสระอย่างแท้จริงต้องเปลี่ยนแปลงทั้งโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมไปพร้อมกัน


“เฟมินิสต์ทางเลือก” (Choice Feminism) คือ แนวคิดที่แตกแขนงมาจากเฟมินิสต์สายเสรีนิยม (Liberal feminism) เป็นแนวคิดที่เชื่อว่าทุกทางเลือกส่วนบุคคลที่ผู้หญิงเลือกล้วนเป็นสิ่งที่ถูกต้องและถือเป็นการปลดแอกตัวเองให้เป็นอิสระจากกรอบทางสังคมตราบใดที่เจ้าตัวเป็นผู้ตัดสินใจ “เลือก” เอง


แนวคิดนี้ดูผิวเผินเหมือนจะส่งเสริมพลังของผู้หญิง (Female Empowerment) ผ่านการสนับสนุนให้ผู้หญิงกล้าเลือกสิ่งต่างๆ ในชีวิตของตนเองโดยไม่ต้องสนใจอิทธิพลจากปัจจัยรอบข้าง แต่น่าเสียดายที่ไม่ใช่ทุกสิ่งที่ผู้หญิงเลือกจะเป็นสิ่งดีๆ ที่จะส่งเสริมคุณค่าหรือเป็นผลดีต่อทั้งร่างกายและจิตใจของตนเสมอไป การเหมารวมว่า “ทุกทางเลือกที่ผู้หญิงเลือกคือการส่งเสริมพลังของผู้หญิง” จึงนับเป็นเรื่องที่ชวนให้เกิดความเข้าใจผิดและเป็นอันตรายต่อผู้ที่ยังขาดประสบการณ์ชีวิต


ตัวอย่างเช่น การที่ผู้หญิงหลายคน “เลือก” ที่จะเป็นแม่บ้านเต็มเวลา (Stay-at-home mother) หลังแต่งงานหรือมีลูกเพราะคิดว่าการเลือกแต่งงานกับสามีที่มีฐานะมั่นคงก็ทำให้ตนสุขสบายมากพอจนไม่จำเป็นต้องทำงานอีก ดูผิวเผินทางเลือกนี้อาจเป็นทางเลือกที่สมเหตุผลสำหรับผู้หญิงที่มีสามีรวย แต่การเป็นแม่บ้านเต็มเวลาหมายถึงการไม่ได้ทำงานมีรายได้เป็นของตัวเอง ต้องอยู่ในสภาพเปราะบางต้องพึ่งพาสามีอย่างเดียวและไม่มีอิสระทางการเงิน


ซึ่งหากในอนาคตเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องเลิกรากัน เช่น สามีนอกใจ สามีทำร้ายร่างกายและจิตใจ ฯลฯ การแยกตัวออกมาก็จะลำบากมากขึ้นหรือเป็นไปไม่ได้หากผู้หญิงคนนั้นไม่มีรายได้ ไม่มีเงินเก็บ หรือไม่มีเครือข่ายที่พร้อมให้การสนับสนุนอย่างเช่น ครอบครัวหรือเพื่อนที่จะให้ที่พักพิง การเป็นแม่บ้านเต็มเวลาจึงเปรียบได้กับการใช้ชีวิตของตนเป็นเบี้ยเดิมพันกับความกรุณาของฝ่ายชายเพียงอย่างเดียวโดยไม่มีหลักประกันอะไรว่าเขาจะไม่เปลี่ยน ทางเลือกนี้จึงไม่ใช่ทางเลือกที่ส่งเสริมพลังของผู้หญิง


หรือการที่ผู้หญิงหลายคน “เลือก” ที่จะขายตัวหรือถ่ายหนังโป๊เป็น Sex creator เฟมินิสต์สายเสรีนิยมเชื่อว่า “My body, my choice.” ผู้หญิงย่อมมีสิทธิ์ในร่างกายตน ในเมื่อร่างกายเป็นของผู้หญิงฉะนั้นผู้หญิงจะตัดสินใจทำอย่างไรกับร่างกายก็ย่อมได้รวมถึงการนำร่างกายไปขายหรือเปิดเผยให้ใครๆ ได้เชยชม เฟมินิสต์สายเสรีนิยมมักมีแนวคิดว่าการหาเงินจากธุรกิจทางเพศคือการแสดงออกถึงความมีอิสระทางเพศ คือการปลดแอกการกดขี่ทางเพศจากระบอบปิตาธิปไตยที่จำกัดให้ผู้หญิงต้องมีเพศสัมพันธ์ได้เฉพาะกับคู่ครอง การขายตัวหรือถ่ายหนังโป๊ทำให้ผู้หญิงได้สัมผัสความสุขทางเพศโดยไม่มีขีดจำกัดและได้รับอิสระทางการเงินควบคู่ไปด้วย


ดูผิวเผินทางเลือกนี้เหมือนจะสมเหตุผลสำหรับผู้หญิงที่รู้สึกอึดอัดกับความไม่เท่าเทียมทางเพศในทางทฤษฎี แต่น่าเสียดายที่ในทางปฏิบัติ การลดคุณค่าของตนให้เหลือเป็นแค่วัตถุทางเพศเช่นนี้คือการทำลายสถานะสังคมของตนทิ้งและเป็นการตัดโอกาสอื่นๆ ที่จะมีเข้ามาอีกในอนาคต (กรณีนี้พูดถึงแต่ผู้หญิงที่จงใจ “เลือก” ไม่เกี่ยวกับผู้หญิงที่ไม่มีทางเลือกหรือถูกบังคับ)


ตั้งแต่จุดเริ่มต้นตราบจนถึงจุดสิ้นสุดของสังคมมนุษย์ คนในสังคมโดยเฉพาะผู้ชายที่สนับสนุนให้ผู้หญิงขายตัวหรือถ่ายหนังโป๊จะไม่มีวันให้เกียรติหรือยกย่องผู้หญิงที่อยู่วงการนี้ว่าเป็นมนุษย์ ยิ่งผู้หญิงที่จงใจ “เลือก” ที่จะเข้ามาทำงานแบบนี้ผู้ชายส่วนใหญ่ก็ยิ่งรังเกียจ แม้แต่ในประเทศที่การค้ากามหรือธุรกิจสื่อลามกถูกกฎหมายผู้ชายในประเทศเหล่านั้นก็ไม่ได้มองผู้หญิงที่อยู่วงการนี้ดีขึ้นแต่กลับเหมารวมว่าผู้หญิงทุกคนรวมถึงคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับวงการนี้คือวัตถุทางเพศไปด้วย


หากทางเลือกนี้เป็นทางเลือกที่ “ส่งเสริมพลัง” ของผู้ที่เลือกได้จริง ทำไมผู้ชายส่วนใหญ่จึงไม่สนับสนุนให้คนในครอบครัวหรือผู้ชายด้วยกันทำหรือแม้แต่ตัดสินใจที่จะทำเองเหมือนที่พยายามผลักดันให้ผู้หญิงทำ? และถ้าผู้ชายมีความคิดเปิดกว้างยอมรับผู้หญิงที่หาเงินจากธุรกิจทางเพศมากขึ้นแล้วจริง ทำไมผู้ชายส่วนใหญ่ถึงยังปฏิเสธที่จะแต่งงานกับผู้หญิงที่เคยขายตัวหรือถ่ายหนังโป๊?



ผู้หญิงที่ “เลือก” ทางนี้ส่วนใหญ่นอกจากต้องเสี่ยงกับการถูกลูกค้าทำร้ายร่างกายหรือถูกฆ่าแล้วยังต้องเสี่ยงกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคทางจิตเวชแถมยังต้องพบกับประสบการณ์เลวร้ายต่างๆ ที่จะตามมาเพื่อแลกกับเงิน ผู้หญิงที่ถ่ายหนังโป๊อาจไม่ต้องพบกับลูกค้าโดยตรงแต่ก็ยังเสี่ยงกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือถูกคนรู้จักจับได้ให้เป็นที่อับอาย และแน่นอนที่สุดคือหากเรื่องที่ตนเคยขายตัวหรือถ่ายหนังโป๊ถูกแพร่ออกไปจะทำให้ชีวิตอยู่ยากขึ้นและจะถูกตีตราว่าเคยขายตัวหรือถ่ายหนังโป๊ไปตลอดชีวิตแม้กระทั่งตอนแต่งงานและมีลูกไปแล้ว ทางเลือกนี้จึงเป็นอันตรายต่อผู้หญิงมากกว่าจะนับเป็นการส่งเสริมพลังของผู้หญิง


หรือการ “เลือก” ที่จะมีเพศสัมพันธ์แบบ BDSM หรือการเข้าร่วมกิจกรรม Fetish หรือ Kink ที่เป็นอันตรายต่อตัวผู้หญิงเอง ตั้งแต่กิจกรรมที่คนเห็นเป็นเรื่องทั่วไปอย่างการร่วมเพศทางทวารหนัก การร่วมเพศหมู่ การทำร้ายร่างกายหรือการกินของเสีย จนไปถึงการบีบคอให้ขาดอากาศและการกดน้ำ


จริงอยู่ว่าอาจมีผู้หญิงบางส่วนเข้าร่วมเพราะตนเองมีรสนิยมแบบนั้น แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามีผู้หญิงหลายคนที่เข้าร่วมเพียงเพราะต้องการทำให้ผู้ชายพอใจหรือต้องการได้รับการยอมรับว่าเป็น “ผู้หญิงหัวก้าวหน้า” ไม่ใช่ “ผู้หญิงหัวโบราณ” ที่น่าเบื่อทั้งที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากิจกรรมเหล่านั้นอันตรายต่อร่างกายและจิตใจตนทั้งในระยะสั้นหรือระยะยาวแค่ไหน ซึ่งบางครั้งผู้หญิงที่เข้าร่วมอาจบาดเจ็บ พิการจนกลับมาใช้ชีวิตเป็นปกติไม่ได้ หรือถึงตายไปเลยก็มี


ไม่แปลกหากจะพูดว่าผู้ชายที่ส่งเสริมให้ผู้หญิงเข้าร่วมร่วมกิจกรรมที่เป็นอันตรายต่อตัวผู้หญิงเช่นนี้จะมองผู้หญิงเป็นแค่วัตถุทางเพศและเห็นคุณค่าของชีวิตผู้หญิงด้อยกว่าการสำเร็จความใคร่ของผู้ชาย


การมีเพศสัมพันธ์ในรูปแบบที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตจึงไม่ใช่ทางเลือกที่ “ส่งเสริมพลังของผู้หญิง” และไม่ควรสนับสนุนให้ผู้หญิงโดยทั่วไปเห็นว่าดีและสมควรทำตามด้วยประการทั้งปวง ในต่างประเทศมีข่าวผู้ที่ตายจาก “ความผิดพลาดระหว่างการมีเพศสัมพันธ์” (Sex game gone wrong) เกิดขึ้นเป็นระยะและแน่นอนว่าผู้ที่ตายเกือบทั้งหมดเป็นผู้หญิงโดยที่มีผู้กระทำเป็นผู้ชาย (ใช้คำว่า “เกือบ” แต่ส่วนตัวฉันไม่เคยเห็นเหยื่อของกรณีแบบนี้ที่เป็นผู้ชายถูกกระทำโดยผู้หญิง) ซึ่งแน่นอนว่ายากจะพิสูจน์ได้ว่านั่นคือการตายอุบัติเหตุที่เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ด้วยความเต็มใจของทั้ง 2 ฝ่ายจริง หรือเกิดจากการข่มขืนหรือฆาตกรรมอำพรางด้วยสาเหตุอื่นแล้วอ้างเซ็กซ์บังหน้า


อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้คาดว่าผู้อ่านคงพอเข้าใจโดยสังเขปแล้วว่าที่จริง “เฟมินิสต์ทางเลือก” (Choice Feminism) นั้นไม่ได้ส่งเสริมพลังของผู้หญิงอย่างแท้จริง ในทางตรงข้ามมันคือยาพิษจากแนวคิดเหยียดเพศหญิงที่วิวัฒนาการตามยุคสมัยหลังจากผู้หญิงได้รับสิทธิ์ทางสังคมมากขึ้น ในเมื่อผู้หญิงเริ่มฉลาดจนไม่สามารถปลูกฝังค่านิยมเหยียดเพศแบบตรงๆ ได้แล้วคนที่มีค่านิยมเหยียดเพศเหล่านี้ก็ได้ใช้วิธีแทรกตัวเข้ามายืมรูปแบบภาษาของเฟมินิสต์ เคลือบเปลือกนอกของสิ่งที่กดขี่ด้อยค่าผู้หญิงด้วยคำที่สวยหรูอย่าง “ปลดแอก” หรือ “ส่งเสริมพลังของผู้หญิง” เพื่อล่อลวงผู้หญิงที่ยังขาดประสบการณ์ชีวิตให้ตกเป็นเหยื่อและยอมทำตามสิ่งที่ระบอบปิตาธิปไตยต้องการ


ลองคิดดูง่ายๆ ว่าตั้งแต่โบราณในยุคที่ผู้หญิงยังไม่มีสิทธิ์มีเสียงและต้องพึ่งพาผู้ชายอย่างเดียว สังคมพยายามปลูกฝังมาตลอดให้ผู้หญิงทำตัว “สมหญิง” เป็นแม่บ้านดูแลสามีและลูก ส่วนผู้ชายในสังคมบางส่วนก็สามารถทำได้ทุกอย่างไม่ว่าจะทั้งข่มขู่ ใช้กำลัง หลอกลวง ใช้เงินล่อ ฯลฯ เพื่อใช้ประโยชน์ทางเพศจากผู้หญิง พอเฟมินิสต์ยุคก่อนต่อสู้เพื่อให้ได้ผู้หญิงสิทธิ์ในการทำงานนอกบ้านสามารถพึ่งพาตัวเองจนเริ่มมีสถานะทางสังคมเทียบเท่าผู้ชายได้แล้วทำไมจู่ๆ กลับมี “เฟมินิสต์” อีกกลุ่มลุกขึ้นมาผลักดันให้การทำตัว “สมหญิง” เป็นแม่บ้านแม่เรือน หรือการขายตัวถ่ายหนังโป๊ให้ผู้ชายซื้อขายกลับกลายเป็นเรื่องที่ “ส่งเสริมพลังของผู้หญิง” ? ทำไมสิ่งสุดท้ายที่ผู้หญิงยุคก่อนต้องการ (การเป็นแม่บ้านที่ต้องพึ่งพาสามีอย่างเดียวหรือการขายตัว) กลับกลายเป็นสิ่งที่แสดงถึงความมีอิสระในการเลือกเส้นทางชีวิตและการมีเสรีภาพทางเพศในยุคนี้?


ตามที่ฉันกล่าวไว้แล้วข้างต้น เฟมินิสต์สายเสรีนิยมคือสายที่หาทางอยู่ร่วมกับระบอบปิตาธิปไตยโดยไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างหรือรากฐานของระบบ สำหรับเฟมินิสต์สายนี้การเป็นแม่บ้านที่พึ่งพาสามีหรือการหาเงินจากธุรกิจทางเพศนับเป็นการหาประโยชน์และอยู่ร่วมกับระบอบปิตาธิปไตยตามระบบที่มีอยู่แล้วแม้ว่านั่นหมายถึงสถานะทางของผู้หญิงจะยังถูกกดให้เป็นแค่ “คนใช้” หรือ “วัตถุทางเพศ” ไม่ต่างจากสมัยก่อน เฟมินิสต์สายนี้สนับสนุนการมีอยู่ของระบอบปิตาธิปไตยตราบใดที่ผู้หญิงบางส่วนยังหาประโยชน์จากมันได้


จึงไม่ต้องแปลกใจที่ทำไมเฟมินิสต์สายเสรีนิยมจึงถูกเรียกว่าเป็น “เฟมินิสต์สายหลัก” (Mainstream feminism) และเป็นเฟมินิสต์สายที่ผู้ชายส่วนใหญ่ถึงจะไม่สนับสนุนแต่ก็ไม่คัดค้านการมีอยู่ ต่างจากเฟมินิสต์สายฐานรากหรือสายสังคมนิยมที่มักจะถูกต่อต้าน ก่อกวน กีดขวาง หรือกำจัดจนไม่มีแทบที่ยืนในสังคม



ฉันเคยคิดว่า ถ้าทุกวันนี้ยังมีการค้าทาสอยู่แล้วมีใครสักคนลุกขึ้นมาเคลื่อนไหวเพื่อให้ยกเลิก จะต้องมีพวกเสรีนิยมลุกขึ้นมาต่อต้านคนที่อยากยกเลิกการค้าทาสแน่ๆ โดยเขาจะให้เหตุผลว่า “มีคนที่สมัครใจยอมขายตัวเองเป็นทาสอยู่ การยกเลิกการค้าทาสจึงเป็นการลิดรอนสิทธิ์ในการเลือกทางเดินในชีวิตซึ่งเท่ากับเป็นการละเมิดสิทธิ์มนุษยชนของคนที่อยากเป็นทาส”


ปัจจุบันทุกอย่างเปลี่ยนแปลงเร็วมาก ข้อมูลข่าวสารก็มีมากมายจนยากจะแยกแยะว่าอันไหนจริงอันไหนหลอกลวง การเสพสื่อจึงต้องทำด้วยความรอบคอบและระมัดระวังมากขึ้น ก่อนจะตัดสินใจเชื่ออะไรขอให้พิจารณารอบด้านและทบทวนอย่างถ้วนถี่ มองเจตนาของผู้ผลิตสื่อให้ออกว่าเขาต้องการอะไร? หวังดีกับผู้ที่เสพสื่อจริงหรือมีวาระซ่อนเร้น? ในยุคนี้ผู้ที่หวังดีประสงค์ร้ายมาในคราบนักบุญนั้นมีอยู่มาก และถึงบางคนหรือบางสื่อจะเรียกตัวเองว่า “เฟมินิสต์” แต่ไม่ใช่ว่าทุกคำพูดหรือความคิดที่เขาแสดงออกจะเป็นการส่งเสริมสิทธิ์และบทบาทของผู้หญิง


แม้แต่บทความที่ผู้อ่านกำลังอ่านอยู่นี้ฉันก็ขอให้อ่านแล้วอย่าเพิ่งเชื่อทั้งหมด ลองหาข้อมูลเพิ่มด้วยตนเอง สังเกตสถานการณ์รอบข้างแล้วค่อยตกผลึกจากความรู้และประสบการณ์ของตน ไตร่ตรองก่อนให้คำตอบกับตัวเองว่าควรจะเชื่อหรือไม่และนิยามของ “เฟมินิสต์” ในความคิดของตนควรเป็นอย่างไร


วันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2568

Best Support

 

ยังเล่นแพทช์ 2.8 ไม่จบเลยเขียนมุกที่ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องหลักไปก่อน (ว่าจะทยอยเคลียร์มุกเก่าๆ ที่จดทิ้งไว้แต่มีเยอะมากคงเขียนได้ไม่หมด กลุ้ม...) 


ส่วนผู้อ่านที่ทวงการ์ตูนกับบทความที่ฉันเขียนค้างไว้ ขอบคุณที่อุตส่าห์เคาะมาทวงถาม ตอนนี้ฉันกำลังทยอยทำอยู่ ยังเล่าอะไรให้ฟังมากไม่ได้ไว้ถ้ามีความชัดเจนมากกว่านี้จะมารายงานความคืบหน้านะ


รักผู้อ่านทุกคน

'Wife support' is the Best Support.


Still haven’t finished Patch 2.8, so I’m writing a gag that isn’t tied to the main storyline for now. (I planned to gradually clear out the old ideas I've jotted down, but there are so many that I probably can't get to all of them. Sigh…)


To the readers who’ve been nudging me about the comics and articles I left unfinished—thank you for checking in. I’m working on it bit by bit. I can’t share much yet, but once things are clearer, I'll give an update on the progress.


Love you all


-devilray-

FB and bsky - dfaxtory


#Reverse1999 #Reverse1999Fanat #Windsong #Vila #devilray #dfaxtory

วันศุกร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2568

Proud Apprentices

 

หลังเรียนงานไม้จบพอดีเกม R99 เหลืออีกราวๆ 1 อาทิตย์จะหมดเวลาแพทช์ AC collab เลยตะบี้ตะบันเล่นทุกโหมดที่มีในเกมจนจบเพราะไม่คิดว่าเนื้อหาแพทช์นี้จะวนกลับมาให้เล่นอีก 


โดยรวมฉันชอบแพทช์นี้มาก แม้เนื้อหาจะดูเบาและง่ายไปหน่อยแต่ต้องชมที่ทีมเขียนบทสามารถเกลี่ยโลกของทั้ง 2 เกมให้กลมกลืนกันได้เป็นอย่างดี เนื้อเรื่องส่วนของ Ezio สามารถแสดงเอกลักษณ์ของตัวละครและดึงอารมณ์ร่วมของผู้เล่น แต่เนื้อหาส่วนของ Kassandra กับ Alexios ถึงจะสนุกพอใช้แต่ขอติตรงที่ไม่มีบทส่งท้ายให้ผู้เล่นเข้าใจว่าทำไม Alexios ที่เป็นตัวร้ายทำไมถึงยอมลดทิฐิมาเข้าร่วมกับทีมไทม์คีเปอร์ทำให้ดูห้วนๆ ไปหน่อย


ตอนเล่นโหมด Into the Shadow ที่เป็นเกมวางแผนการรบย่อยๆ รู้สึกขำที่ตัวละครที่ดูไม่มีความบู๊เลยอย่าง Vila, Marcus, Hissabeth, etc ต้องมารับบทนักฆ่าร่วมทีมกับ Ezio แล้วที่สำคัญคือดันเก่งอีกต่างหาก ตอนฉันเล่น Ezio จะเป็นตัวที่ถูกศัตรูตรวจจับเจอทุกทีในขณะที่ Vila จะลอบเร้นเข้าไปสังหารศัตรูได้โดยที่แทบจะไม่เคยโดนจับ ฉันเลยใช้ Ezio เป็นเหยื่อล่อแล้วให้ตัวละครอื่นสังหารศัตรูหรือไปทำภารกิจให้สำเร็จแทน


ที่จริงกะวาดแฟนอาร์ตชิ้นนี้ให้เสร็จก่อนแพทช์ AC collab จบแต่ดันติดธุระอย่างอื่นเลยโดนลากยาวมาจนถึงตอนนี้ ถึงมุกจะล้าสมัยไปแล้วแต่ถือว่าเป็นที่ระลึกแด่เกม R99 แพทช์ AC collab แล้วกัน ฮ่าๆ


In R99 x AC collab patch, Vila was my best assassin.


After finishing my woodworking course, I realized there was only about a week left before the R99 x AC collab patch expired. So, I dove headfirst into every game mode available, determined to complete it all because this content probably wouldn’t ever return again.


Overall, I really liked this patch. Although the content seemed a bit light and easy, I have to commend the scriptwriting team for how well they managed to blend the worlds of the two games together. Ezio's storyline perfectly captured the character's essence and evoked a lot of emotion from players. As for Kassandra and Alexios, while their part was enjoyable enough but it lacked of a proper epilogue to explain why Alexios, who’s supposed to be the villian, would lower his pride and join the Timekeeper team. So it felt a bit abrupt.


When I played the "Into the Shadow" mode, which is a mini-strategy game, I found it hilarious that characters who don't seem like fighters at all, like Vila, Marcus, Hissabeth, etc., were suddenly cast as assassins alongside Ezio - and what's more, they were actually good at it! When I played, Ezio was always the one who got detected by enemies, while Vila could sneak in and take targets out undetected almost everytimes. So, I ended up using Ezio as a decoy and having the others handle the assassinations or complete the missions.


I originally intended to finish this fan art before the AC collab patch ended, but life got in the way and it dragged on until now. The joke might be outdated, but hey... consider it a little tribute to the R99 x AC collab patch. lol


-devilray-

FB and bsky - dfaxtory


#Reverse1999 #Reverse1999Fanart #Ezio #Vila #Marcus #Hissabeth #APPle #devilray #dfaxtory

วันอังคารที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2568

We Are Global Citizens

 


ที่จริงการ์ตูนชิ้นนี้ร่างไว้ตั้งแต่ตอนที่เริ่มมีการปะทะกันแถวชายแดนแล้วแต่เพราะเหนื่อยจากการเรียนงานไม้เลยค่อยๆ ทำได้ทีละนิดหน่อยจนเพิ่งมาเสร็จเอาตอนนี้ 


สิ่งที่ผู้เขียนเกลียดที่สุดนอกจากคนเสแสร้งแล้ว คือคนที่โลกสวยจนไม่รู้จักมองความเป็นจริง คนที่มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ และคนที่เห็นแก่ตัวมากเกินไปจนไม่รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น การ์ตูนชิ้นนี้ขอมอบให้แด่คนเหล่านั้น


-devilray-

17 สค. 2568

FB and bsky - dfaxtory


"Borders are just imaginary lines. Nobody fights to the death with their neighbors over borders anymore."


Actually, I sketched this comic back when the clashes along the border first began. But because I was exhausted from studying woodworking (I just learned the difference between capentry and woodworking - what I've study so far is woodworking). I could only work on it bit by bit until it was finally finished just now.


Aside from hypocrites, what I despise most are people who are so blindly optimistic that they refuse to see reality, those who do nothing but still stir the waters, and those who are so selfish they lack any empathy for others. This comic is dedicated to them."


-devilray-

August 17, 2025

FB and bsky - dfaxtory


#dfaxtory #devilray #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #Cambodiaopenedfire #กัมพูชายิงก่อน

วันศุกร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2568

Authentic Pose

 

ช่วงนี้ฉันไปเรียนงานไม้ทุกวันเลยหาเวลามาวาดรูปแทบไม่ได้ ที่ไปลงเรียนเพราะเห็นว่ามีสอนใช้ SketchUp ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์กับการเขียนการ์ตูน แต่กลายเป็นต้องทำเฟอร์นิเจอร์จากไม้จริงๆ ฉันเขียนการ์ตูนมา 25 ปีไม่ค่อยได้ทำงานใช้แรงมากเท่าไรผลก็คือเหนื่อยมากจนแทบไม่มีแรงไปทำอย่างอื่น ทำให้กว่าจะทำแฟนอาร์ตชิ้นนี้เสร็จก็ข้ามเดือน


ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดระหว่างสมัยนี้กับตอนที่ฉันยังเด็กคือ ตอนฉันอยู่ชั้นประถมครูเคยให้เลือกว่าจะเรียนงานประดิษฐ์อะไรระหว่าง เย็บปักถักร้อย ร้อยมาลัย ทำดอกไม้ประดิษฐ์ และงานไม้ ตอนนั้นฉันกับเพื่อนผู้หญิงอีกคนเลือกงานไม้แต่ก็โดนครูไล่ให้ไปเลือกอย่างอื่นแล้วบอกว่า "งานไม้เป็นงานของผู้ชาย" มานึกย้อนหลังตอนนี้ ภาพเด็กผู้หญิง 2 คนถูกครูจูงออกจาห้องงานไม้ไปส่งที่ห้องเย็บปักถักร้อยท่ามกลางสายตาเพื่อนนักเรียนกับครูคนอื่นที่มองเหมือนเป็นตัวประหลาดมันชวนให้ขำปนเศร้ายังไงก็ไม่รู้


แต่ตอนที่ฉันไปลงเรียนงานไม้ครั้งนี้มีคนเรียนด้วยรวมฉันเป็น 5 คน นอกจากฉันแล้วยังมีผู้หญิงอีก 2 คนซึ่ง 2 คนนี้ก็เคยเรียนงานไม้มาก่อนและทำชิ้นงานได้ปราณีตและดูดีเสียด้วย อาจารย์ผู้สอนเองถึงจะเป็นผู้ชายแต่ก็ตั้งใจสอนเต็มที่ไม่เกี่ยงว่าลูกศิษย์จะเป็นหญิงหรือชาย ทำให้ฉันรู้สึกว่ายุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่เส้นแบ่งของสิ่งที่สังคมกำหนดว่าเป็นงานของผู้ชายหรือผู้หญิงเริ่มเบาบางลง


ปล. ขอบคุณผู้อ่านที่หลังไมค์มาถามสารทุกข์สุขดิบเป็นระยะ บอกไว้ก่อนฉันยังไม่ลืม Del Vento นะโปรดสบายใจได้



The iconic Dracula (1931) starred 'Bela Lugosi' whose name is similar to 'Bella'. Coincidence? I think not. :3


I've been attending carpentry classes every day, leaving me with hardly any time to draw. I signed up for the class because I saw they taught SketchUp which I thought would be useful for my comics. However, it turned out I had to make real furniture from actual wood. I've been drawing comics for 25 years and haven't really done much physically demanding work, so as a result, I'm incredibly tired and barely have the energy for anything else. That's why it took me over a month to finish this fan art.


A clear difference between now and when I was a child is that when I was in elementary school, my teacher gave us a choice of crafts to learn: embroidery, garland making, artificial flower making, and carpentry. Back then another girl and I chose carpentry but the teacher shooed us away and told us to choose something else, saying, "Carpentry is for boys." Looking back now, the image of two little girls being led out of the carpentry room and into the embroidery room by the teacher, under the gaze of other students and teachers who looked at us like we were freaks, makes me feel a mix of amusement and sadness.


But this time, when I enrolled in the woodworking class there were 5 students including me. Besides me, there are 2 other women, and both of them had prior woodworking experience and produced exquisite, beautiful pieces. Even though the instructor is a man, he teaches with full dedication without distinguishing whether his students were male or female. This made me feel like times have changed. It's truly delightful that the lines society has drawn for what constitutes "men's work" or "women's work" are starting to blur.


P.S. Thanks to the readers who have been sending me private messages to check in periodically. I haven't forgotten about Del Vento so please rest assured.


ช่วงนี้ฉันไปเรียนงานไม้ทุกวันเลยหาเวลามาวาดรูปแทบไม่ได้ ที่ไปลงเรียนเพราะเห็นว่ามีสอนใช้ SketchUp ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์กับการเขียนการ์ตูน แต่กลายเป็นต้องทำเฟอร์นิเจอร์จากไม้จริงๆ ฉันเขียนการ์ตูนมา 25 ปีไม่ค่อยได้ทำงานใช้แรงมากเท่าไรผลก็คือเหนื่อยมากจนแทบไม่มีแรงไปทำอย่างอื่น ทำให้กว่าจะทำแฟนอาร์ตชิ้นนี้เสร็จก็ข้ามเดือน


ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดระหว่างสมัยนี้กับตอนที่ฉันยังเด็กคือ ตอนฉันอยู่ชั้นประถมครูเคยให้เลือกว่าจะเรียนงานประดิษฐ์อะไรระหว่าง เย็บปักถักร้อย ร้อยมาลัย ทำดอกไม้ประดิษฐ์ และงานไม้ ตอนนั้นฉันกับเพื่อนผู้หญิงอีกคนเลือกงานไม้แต่ก็โดนครูไล่ให้ไปเลือกอย่างอื่นแล้วบอกว่า "งานไม้เป็นงานของผู้ชาย" มานึกย้อนหลังตอนนี้ ภาพเด็กผู้หญิง 2 คนถูกครูจูงออกจาห้องงานไม้ไปส่งที่ห้องเย็บปักถักร้อยท่ามกลางสายตาเพื่อนนักเรียนกับครูคนอื่นที่มองเหมือนเป็นตัวประหลาดมันชวนให้ขำปนเศร้ายังไงก็ไม่รู้


แต่ตอนที่ฉันไปลงเรียนงานไม้ครั้งนี้มีคนเรียนด้วยรวมฉันเป็น 5 คน นอกจากฉันแล้วยังมีผู้หญิงอีก 2 คนซึ่ง 2 คนนี้ก็เคยเรียนงานไม้มาก่อนและทำชิ้นงานได้ปราณีตและดูดีเสียด้วย อาจารย์ผู้สอนเองถึงจะเป็นผู้ชายแต่ก็ตั้งใจสอนเต็มที่ไม่เกี่ยงว่าลูกศิษย์จะเป็นหญิงหรือชาย ทำให้ฉันรู้สึกว่ายุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่เส้นแบ่งของสิ่งที่สังคมกำหนดว่าเป็นงานของผู้ชายหรือผู้หญิงเริ่มเบาบางลง


ปล. ขอบคุณผู้อ่านที่หลังไมค์มาถามสารทุกข์สุขดิบเป็นระยะ บอกไว้ก่อนฉันยังไม่ลืม Del Vento นะโปรดสบายใจได้


-devilray-

FB and bsky - dfaxtory


#Reverse1999 #Reverse1999Fanart #Semmelweis #Horrorpedia #Blonney #Jessica #devilray #dfaxtory

วันเสาร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2568

Stormé DeLarverie: The Butch Lesbian Who Sparked the Stonewall Riots

Stormé DeLarverie: The Butch Lesbian Who Sparked the Stonewall Riots



On the morning of June 28, 1969, in Greenwich Village, Manhattan, New York City, an era when same-sex relationships were still condemned and viewed as mental illnesses, police raided the Stonewall Inn, a gay bar, and arrested some of the gay and lesbian patrons, and were taking them to police vehicles.

 

Stormé DeLarverie, a butch lesbian and one of those arrested, protested that her handcuffs were too tight. She resisted the officers and was struck on the head with a baton, causing her head to bleed. As everyone was disoriented by the unfolding events, DeLarverie shouted,… "Why don't you guys do something?" before being forcibly put into the police van. Suddenly, the surrounding crowd, composed of both lesbians and gay men, rose up and fought back against the police. This marked the beginning of the LGBT rights movement in America and around the world.

 

"Nobody knows who threw the first punch, but it's rumored that it was her. And she said she did it," said Lisa Cannistraci, DeLarverie's friend and owner of the lesbian bar Henrietta Hudson. Although it's not definitively known if DeLarverie was the woman who fought her way out of the police vehicle, all witnesses confirm that she was certainly one of the butch lesbians who engaged in the struggle against the police that night. 


While the events of June 28, 1969, were later dubbed the "Stonewall Riots," Stormé DeLarverie viewed the incident as an uprising.

 

"It was a rebellion, it was an uprising, it was civil disobedience - it wasn’t no damn riot," Stormé DeLarverie

 

Stormé DeLarverie was born around December 24, 1920, in New Orleans, Louisiana. Her mother was Black, and her father—her mother's employer—was White. Growing up as a biracial individual of African American and White descent, she faced bullying and discrimination from a young age.

 

Between 1955 and 1969, she was both a master of ceremonies (MC) and the only "Drag King" (a woman who dresses in masculine attire for performance) in the "Jewel Box Revue," the first racially integrated drag troupe in North America. She was a talented artist whose performances were popular, and she toured nationwide.

 


Between 1955 and 1969, she was both a master of ceremonies (MC) and the only "Drag King" (a woman who dresses in masculine attire for performance) in the "Jewel Box Revue," the first racially integrated drag troupe in North America. She was a talented artist whose performances were popular, and she toured nationwide.

 

After the Stonewall incident, she dedicated her life to protecting and caring for the LGBT community. She frequently patrolled the streets of Gay Street, especially around lesbian bars, to protect young LGBT individuals from harassment and discrimination. She held a gun license and did not hesitate to use it to protect her "children" (DeLarverie viewed LGBT youth as her own children to protect, especially during an era when LGBT individuals were targets of bullying and harassment by state officials). She also worked as a bouncer for several lesbian bars in New York City and and was a member of the Stonewall Veterans' Association—an organization of those who participated in the Stonewall riots. The New York Times once referred to her as the "guardian of lesbians in the Village."

 

Stormé DeLarverie passed away on May 24, 2014, at the age of 93. She is celebrated as a "hero of gay civil rights" and continues to inspire the LGBTQ+ movement to this day. Her life and struggles are a significant part of what makes Pride Month meaningful today.

 


On June 7, 2012, Brooklyn Pride, Inc. honored Stormé DeLarverie by screening Michelle Parkerson's film Stormé: The Lady of the Jewel Box at the Brooklyn Society for Ethical Culture. On April 24, 2014, the Brooklyn Community Pride Center honored DeLarverie alongside Edith Windsor (an LGBTQ+ rights activist who successfully championed marriage equality in the US) for her "courage and determination." She also received commendations from Letitia James, a New York City Public Advocate.

 

In June 2019, DeLarverie was one of 50 American "pioneers, trailblazers, and heroes" inducted into the National LGBTQ Wall of Honor within the Stonewall National Monument (SNM) at New York City's Stonewall Inn. The SNM is the first U.S. National Monument dedicated to LGBTQ+ rights and history, and the wall's unveiling was scheduled to coincide with the 50th anniversary of the Stonewall Riots.

 


Note: Many people mistakenly believe that two gay drag queens, Marsha P. Johnson and Sylvia Rivera, initiated the Stonewall riots and choose not to mention DeLarverie. However, Johnson herself/himself confirmed that she/he was not at the point where the confrontation began but heard the news and informed Rivera, who was sleeping on a park bench nearby. As a result, both joined the event after the riots had already started. (Later in life, Rivera identified herself as a transgender woman, while Johnson stated in an interview that she was a gay transvestite, which differs from being a transgender woman.)

 

Despite not initiating the Stonewall riots, both Johnson and Rivera were among those who continuously protested police violence for several days in front of the Stonewall Inn. They also played crucial roles in advancing the LGBTQ+ rights movement afterward, strengthening and expanding it.

 

อ้างอิง

·       https://en.wikipedia.org/wiki/Storm%C3%A9_DeLarverie

·       https://en.wikipedia.org/wiki/Stonewall_riots

·       https://www.nps.gov/people/storme-delarverie.htm

·       https://www.storme-delarverie.com/

·       https://legacyprojectchicago.org/person/storme-delarverie

·       https://web.archive.org/web/20140903230252/http://thekword.com/2014/05/28/something-like-a-super-lesbian-storme-delarverie-in-memoriam/

·       https://afterellen.com/an-interview-with-lesbian-stonewall-veteran-storm-delarverie/

·       https://www.stonewallvets.org/StormeDeLarverie.htm

·       https://www.nytimes.com/2014/05/30/nyregion/storme-delarverie-early-leader-in-the-gay-rights-movement-dies-at-93.html?_r=0

·       https://en.wikipedia.org/wiki/Marsha_P._Johnson

·       https://en.wikipedia.org/wiki/Sylvia_Rivera

·       https://makinggayhistory.org/podcast/episode-11-johnson-wicker/

·       http://sfbaytimes.com/stonewall-50/

·       https://www.ebar.com/story/272833/redirect/News/News/

·       https://sdgln.com/news/2019/06/19/national-lgbtq-wall-honor-be-unveiled-historic-stonewall-inn

·       https://www.villagepreservation.org/2019/06/27/the-stonewall-national-monument/

·       https://www.history.com/articles/the-stonewall-riots

·       https://legacyprojectchicago.org/person/storme-delarverie

·       https://www.nytimes.com/2019/06/06/nyregion/stonewall-riots-nypd.html

“สตอร์มี่ เดอลาร์เวอรี” (Stormé DeLarverie) บุชเลสเบี้ยนผู้มีบทบาทสำคัญในการเริ่มต้นเหตุการณ์จลาจลสโตนวอลล์ (Stonewall riots)

 “สตอร์มี่ เดอลาร์เวอรี (Stormé DeLarverie) บุชเลสเบี้ยนผู้มีบทบาทสำคัญในการเริ่มต้นเหตุการณ์จลาจลสโตนวอลล์ (Stonewall riots)



เช้าวันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ. 1969 (พ.ศ. 2512) ย่านเกรนิชวิลเลจ แมนฮัตตัน นครนิวยอร์ก ในยุคที่คนรักเพศเดียวกันยังถูกต่อต้านและมองว่าเป็นโรคจิต ตำรวจเข้าตรวจค้นสิ่งผิดกฎหมายในบาร์เกย์ “สโตนวอลล์อินน์” (Stonewall Inn) และจับกุมลูกค้าที่เป็นเกย์และเลสเบี้ยนบางส่วนเพื่อนำขึ้นรถตำรวจ

 

“สตอร์มี่ เดอลาร์เวอรี (Stormé DeLarverie) ซึ่งเป็นบุชเลสเบี้ยนหนึ่งในผู้ที่ถูกจับกุม ได้โวยวายว่ากุญแจมือคับเกินไป เธอจึงต่อสู้ขัดขืนเจ้าหน้าที่จนถูกกระบองตีเข้าที่ศีรษะ ขณะที่ทุกคนกำลังสับสนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เดอลาร์เวอรีได้ตะโกนขึ้นว่า ทำไมพวกนายถึงไม่ทำอะไรสักอย่าง?” ("Why don't you guys do something?") ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะโยนเธอเข้าไปในรถ ทันใดนั้น ฝูงชนที่อยู่โดยรอบ ซึ่งมีทั้งเลสเบี้ยนและเกย์ ต่างก็ลุกฮือขึ้นต่อสู้กับตำรวจ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของขบวนการเรียกร้องสิทธิให้กับคนรักเพศเดียวกันหรือชาว LGBT ในอเมริกาและทั่วโลก

 

“ไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นคนออกหมัดคนแรก แต่เขาลือกันว่าเป็นเธอ และเธอนั่นแหละที่บอกว่าตัวเองเป็นคนทำ” ลิซ่า แคนนิสเทรซี (Lisa Cannistraci) เพื่อนของเดอลาร์เวอรี เจ้าของบาร์เลสฯ (Henrietta Hudson) กล่าว แม้จะไม่มีใครทราบแน่ชัดว่าเดอลาร์เวอรีคือผู้หญิงคนที่ต่อสู้จนหลบหนีออกจากรถตำรวจได้สำเร็จหรือไม่ แต่พยานทุกคนต่างยืนยันว่าเธอคือหนึ่งในบุชเลสเบี้ยนกลุ่มที่เข้าร่วมต่อสู้กับตำรวจในเหตุการณ์คืนนั้นอย่างแน่นอน

 


แม้เหตุการณ์วันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ. 1969 (พ.ศ. 2512) ในภายหลังจะถูกเรียกว่า “เหตุจลาจลสโตนวอลล์” (Stonewall riots) แต่ สตอร์มี่ เดอลาร์เวอรี กลับมองเหตุการณ์นั้นว่าเป็นการลุกฮือ (uprising)

 

“มันคือการปฏิวัติ มันคือการลุกฮือ มันคืออารยขัดขืน มันไม่ใช่การจลาจล” – สตอร์มี่ เดอลาร์เวอรี

 

สตอร์มี่ เดอลาร์เวอรี เกิดประมาณวันที่ 24 ธันวาคม ค.ศ. 1920 (พ.ศ. 2463) ที่เมืองนิวออร์ลีนส์ รัฐหลุยเซียนา สหรัฐอเมริกา เธอมีแม่เป็นคนผิวดำ และพ่อซึ่งเป็นนายจ้างของแม่เป็นคนผิวขาว การที่เธอต้องเติบโตในฐานะลูกครึ่งเชื้อสายแอฟริกัน-อเมริกันและคอเคเซียน ทำให้เธอต้องเผชิญกับการกลั่นแกล้งและการเลือกปฏิบัติมาตั้งแต่เด็ก

 

ในช่วงปี 1955 ถึง 1969 เธอเป็นทั้งพิธีกรและ "แดร็กคิงก์" (Drag King – หญิงที่แต่งตัวข้ามเพศ) เพียงคนเดียวในคณะแสดง "จูเวิลบ็อกซ์รีวิว" (Jewel Box Revue) ซึ่งเป็นคณะแสดงแดร็กคณะแรกในอเมริกาเหนือที่มีนักแสดงทั้งผิวดำและผิวขาวรวมอยู่ในคณะเดียวกัน เธอเป็นศิลปินที่มีพรสวรรค์ การแสดงของเธอได้รับความนิยมและเธอเองก็เคยเดินสายเปิดการแสดงมาแล้วทั่วประเทศ

 


หลังเหตุการณ์ Stonewall เธออุทิศชีวิตให้กับการปกป้องและดูแลชุมชน LGBT เธอมักจะเดินลาดตระเวนตามท้องถนนในย่านเกย์ (Gay Street) โดยเฉพาะบริเวณบาร์เลสเบี้ยน เพื่อปกป้องคนหนุ่มสาว เธอมีใบอนุญาตพกปืนและไม่ลังเลที่จะใช้มันเพื่อปกป้อง "ลูก ๆ" ของเธอ (เดอลาร์เวอรีมองเยาวชน LGBT เป็นเหมือนลูกหลานที่ต้องปกป้อง โดยเฉพาะในยุคที่ชาว LGBT ยังตกเป็นเป้าของการกลั่นแกล้งรังแกจากเจ้าหน้าที่รัฐ) เธอยังเป็นบาวเซอร์ (bouncer – ผู้ดูแลร้าน) ให้กับบาร์เลสเบี้ยนหลายแห่งในนิวยอร์กซิตี้และยังเป็นสมาชิกของสมาคมทหารผ่านศึกสโตนวอลล์ (Stonewall Veterans' Association – สมาคมของผู้ที่เคยมีส่วนร่วมในเหตุการณ์จลาจลสโตนวอลล์) The New York Times เคยกล่าวถึงเธอว่าเป็นเหมือน “ผู้พิทักษ์ของเลสเบี้ยนในชุมชนหมู่บ้าน” (guardian of lesbians in the Village)

 

สตอร์มี่ เดอลาร์เวอรี เสียชีวิตเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม ค.ศ. 2014 (พ.ศ. 2557) ด้วยวัย 93 ปี เธอได้รับการยกย่องให้เป็น "วีรสตรีแห่งสิทธิพลเมืองเกย์" และเป็นแรงบันดาลใจให้กับขบวนการ LGBT มาจนถึงทุกวันนี้ ชีวิตและการต่อสู้ของเธอเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ Pride Month มีความหมายอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

 


เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555) Brooklyn Pride, Inc. ได้เชิดชูเกียรติของ สตอร์มี่ เดอลาร์เวอรี โดยการฉายภาพยนตร์เรื่อง Stormé: The Lady of the Jewel Box ของ Michelle Parkerson ที่ Brooklyn Society for Ethical Culture

 

เมื่อวันที่ 24 เมษายน ค.ศ. 2014 (พ.ศ. 2557) ทาง Brooklyn Community Pride Center ได้ยกย่องเดอลาร์เวอรีเทียบเคียงกับเอดิธ วินด์เซอร์ (Edith Windsor – นักเคลื่อนไหวสิทธิ LGBT ผู้ผลักดันสมรสเท่าเทียมในอเมริกาจนสำเร็จ) สำหรับ "ความกล้าหาญและความเด็ดเดี่ยวของเธอ" และเธอก็ยังได้รับการประกาศเกียรติคุณจาก Letitia James นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิประชาชนแห่งนิวยอร์กซิตี้

 

ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2019 (พ.ศ. 2562) เดอลาร์เวอรีเป็นหนึ่งใน "ผู้บุกเบิก ผู้บุกเบิกทาง และวีรบุรุษ" ชาวอเมริกันจำนวน 50 คน ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าสู่ National LGBTQ Wall of Honor ภายใน Stonewall National Monument (SNM) ในสโตนวอลล์อินน์ของนิวยอร์ก SNM ถือเป็นอนุสรณ์สถานแห่งชาติแห่งแรกของสหรัฐฯ ที่อุทิศให้กับสิทธิและประวัติศาสตร์ของกลุ่ม LGBTQ และการเปิดตัวกำแพงดังกล่าวมีกำหนดจัดขึ้นในช่วงครบรอบ 50 ปีของเหตุจลาจลสโตนวอลล์

 


หมายเหตุ:

มีหลายคนเข้าใจว่าเกย์แดร็กควีน (Drag Queen – ชายที่แต่งตัวข้ามเพศ) 2 คน คือ “มาช่า พี.จอห์นสัน” (Marsha P. Johnson) และ “ซิลเวีย ริเวร่า” (Sylvia Rivera) คือผู้เริ่มเหตุจลาจลสโตนวอลล์และเลือกที่จะไม่กล่าวถึงเดอลาร์เวอรี แต่ข้อเท็จจริงคือ จอห์นสันเองเคยยืนยันว่าตนไม่ได้อยู่ตรงจุดที่การปะทะเริ่มต้นขึ้นแต่ได้ยินข่าวเลยนำไปบอกริเวร่าที่กำลังหลับอยู่บนม้านั่งในสวนสาธารณะใกล้ๆ ทำให้ทั้งคู่ได้มาร่วมในเหตุการณ์หลังจากที่การจลาจลเริ่มขึ้นไปแล้ว (ในช่วงบั้นปลายของชีวิต ริเวร่าได้ระบุอัตลักษณ์ของตนว่าเป็นหญิงข้ามเพศ (Transgender) ในขณะที่จอห์นสันเคยให้สัมภาษณ์ระบุว่าตนคือผู้ชายแต่งหญิงที่เป็นเกย์ (transvestite) ซึ่งแตกต่างจากการเป็นหญิงข้ามเพศ)

 

แต่แม้ทั้งคู่จะไม่ใช่ผู้ริเริ่มเหตุจลาจลสโตนวอลล์แต่ทั้งคู่ก็เป็นหนึ่งในผู้ที่เข้าร่วมการประท้วงการใช้ความรุนแรงของตำรวจอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายวันที่หน้าสโตนวอลล์อินน์ และทั้งคู่ยังมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนขบวนการสิทธิ LGBT หลังจากนั้นซึ่งเป็นการสานต่อและขยายผลให้ขบวนการนี้มีความแข็งแกร่งและครอบคลุมยิ่งขึ้น