วันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

ปกตอน 216

 


#delvento ตอน 216 : http://www.comico.in.th/titles/130/chapters/224

...

ปัญหาจากการแสดงผลต่างๆ แอดมินต้องขอโทษแทนทีมงานด้วยนะคะ

ซึ่งปัญหาตอน 216 ไม่แสดงผลแอดมินไม่ทราบจริงๆ ว่าจะได้รับการแก้ไขจากทีมงานที่รับผิดชอบเมื่อไร

ตอนนี้แอดมินกับนักเขียนไม่สามารถมีอำนาจการต่อรองหรือการเข้าไปแก้ไข, เสนอความคิดเห็นต่างๆ กับทางบริษัทได้เลย สิ่งที่ทำได้คือ อดทน, เงียบและรอเวลา

เป็นไปได้รบกวนผู้อ่านเคาะไปทาง inbox ของ comico thailand ซึ่งจะสามารถไปประสานงานกับทีมงานที่เกี่ยวข้องได้มากกว่าแอดมินและนักเขียน (ที่ไม่มีสิทธิมีเสียงคนนี้) 


คุณผู้อ่านที่ไปสอบถามให้แล้ว แอดมินขอขอบคุณมากค่ะ


ภาพไม่ได้ใช้




วันเสาร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

ปกตอน 215


#delvento ตอน 215 : http://www.comico.in.th/titles/130/chapters/223

...

ในคอมเมนต์นักเขียนพูดถึงเรื่องภาษีผ้าอนามัยในหมวดเครื่องสำอางอาจสูงถึง 30% แต่เนื่องจากพื้นที่ไม่พอจึงขออธิบายเพิ่ม รวมถึงนำคำชี้แจงของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาลงด้วย


ประเด็นผ้าอนามัยแบบสอดในประเทศไทยเป็นปัญหามาพักใหญ่แล้ว 


ในบางประเทศผ้าอนามัยแบบสอดจัดเข้าหมวดเครื่องมือทางการแพทย์


เนื่องจาก พรบ.เครื่องสำอาง พ.ศ. 2535 ระบุผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับร่างกายภายนอกเช่น ทา ถู นวด โรย พ่น หยอด อบ เพื่อความสะอาด สวยงาม หรือส่งเสริมความสวยงาม การออกพรบ. เครื่องสำอางก็เพื่อควบคุมส่วนผสมในการผลิตไม่ให้มีผลร้ายต่อร่างกาย และเครื่องสำอางทุกชนิดถือเป็นสินค้าควบคุมที่ต้องขึ้นทะเบียนและตรวจสอบตามระเบียบของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ที่ขึ้นกับกระทรวงสาธารณสุข


ผ้าอนามัยแบบแผ่นก็ถูกจัดในประเภทเครื่องสำอางนี้ด้วย


แต่ผ้าอนามัยแบบสอดมันไม่ได้ใช้กับร่างกายภายนอกจึงเกิดปัญหาขึ้นว่าจะจัดเข้ากลุ่มเครื่องสำอางได้หรือไม่ ซึ่งปัจจุบันผ้าอนามัยแบบสอดก็ได้ถูกจัดเข้ากลุ่มเครื่องสำอางเรียบร้อยแล้ว 


แต่ที่เรารู้กันว่าเครื่องสำอางจัดเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยที่สามารถเจอภาษีได้สูงถึง 30% จึงทำให้กระแสต่อต้านว่าทำไมไม่จัดผ้าอนามัยไปอยู่ในสินค้ากลุ่มอื่นที่ไม่เสียงจะเจอภาษีสูง ยิ่งไปกว่านั้นคือทำไมไม่ประกาศยกเลิกภาษีผ้าอนามัยไปเลย


ภญ.สุภัทรา บุญเสริม ผู้ทรงคุณวุฒิด้านมาตรฐานผลิตภัณฑ์ด้านสาธารณสุข และรักษาการรองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ให้การอธิบายเหตุผลการจัดเข้ากลุ่มเครื่องสำอางเนื่องจากเป็นสินค้าที่ต้องใช้กับภายในร่ายกาย เพื่อความปลอดภัยและสามารถกำกับดูแลให้ได้มาตรฐานปลอดภัย การควบคุมการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์ ต้องมีการแจ้งเตือนที่ฉลากเพื่อให้ผู้ใช้ศึกษาผลิตภัณฑ์ก่อนใช้ และอธิบายเพิ่มอีกว่า ผ้าอนามัยจัดเป็นสินค้าที่มีความจำเป็นในชีวิตประจำวัน เป็นรายการสินค้าควบคุมของกระทรวงพาณิชย์ จึงไม่มีการจัดเก็บภาษีผ้าอนามัยในอัตราภาษีสินค้าฟุ่มเฟือย มีเพียงการจับเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มเหมือนสินค้าชนิดอื่นๆ


น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า ผ้าอนามัย เป็นหนึ่งในรายการสินค้าควบคุมของกระทรวงพาณิชย์ ไม่มีการจัดเก็บภาษีผ้าอนามัยในอัตราภาษีสินค้าฟุ่มเฟือย หรือร้อยละ 30 ภาษีผ้าอนามัยจึงจะถูกจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มตามราคาของสินค้าเหมือนสินค้าชนิดอื่น ๆ


นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร ยืนยันว่า ไม่มีนโยบายเพิ่มอัตราภาษีสินค้าผ้าอนามัยแบบสอด แต่หากมีการนำเข้า โดยใช้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร จากความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ก็จะได้รับการยกเว้นอากรขาเข้า


ด้านนายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพสามิต ยืนยันว่า ผ้าอนามัยเสียภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 7 เท่านั้น ไม่ได้เป็นสินค้าฟุ่มเฟือย เป็นสินค้าที่มีความจำเป็นที่ผู้หญิงต้องใช้ในชีวิตประจำวัน


ถึงจะมีการอธิบายจากผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 4 คน แต่ก็ยังเกิดคำถามว่าทำไมถึงไม่จัดผ้าอนามัยทั้งหมดเข้ากลุ่มเครื่องมือแพทย์ ซึ่งกลุ่มเครื่องมือแพทย์เช่น ยา เวชภัณฑ์ เครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ สามารถยกเว้นกระทั่ง VAT 7% ได้ ซึ่งจะทำให้ผ้าอนามัยถูกลงกว่าปัจจุบันอีก


การเอาเข้ากลุ่มเครื่องสำอางมันก็แสดงถึงว่า "มันยังไม่มีความจำเป็นที่มากพอสำหรับร่างกายสตรี" นั่นเอง


ในขณะที่ต่างประเทศเช่น สกอตแลนด์กลับผ่านร่างกฎหมายผ้าอนามัยฟรีสำหรับประชาชนแล้ว 


อ้างอิง

https://news.thaipbs.or.th/content/306341

https://news.thaipbs.or.th/content/289372


ปล. แอดมินลืมจด link อ้างอิงอื่นๆ 

วันเสาร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

ปกตอน 214


 #delvento ตอน 214 : http://www.comico.in.th/titles/130/chapters/222

...

ฟ้าทะลายโจรมีสารแอนโดรกราโฟไลด์ (Andrographolide) ที่เชื่อว่าสามารถยับยั้งเชื้อไวรัสในห้องทดลองได้


จากนั้นสาธารณสุขก็ประกาศให้คนที่ติดเชื้อโควิด19 ระยะเริ่มต้น (สีเขียว) 

ควรกินฟ้าทะลายโจรที่มีสารแอนโดรกราโฟไลด์ 180 มก.ต่อวัน เพื่อควบคุมการแพร่ของเชื้อในร่างกาย

(ปริมาณจากที่อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก แพทย์หญิง อัมพร เบญจพลพิทักษ์ 

เสนอการขึ้นทะเบียนแบบสารสกัด)


ปกติฟ้าทะลายโจรแบบผงหยาบ 100 มก.จะมีสารแอนโดรกราโฟไลด์ ap ประมาณ 1 มก. 

แปลว่าต้องกินแบบผงหยาบ 100*180 (ap) = 18,000 มก.ต่อวัน

1 แคปซูล ที่เยอะๆ จะประมาณ 400 มก.ต่อแคปซูล 

(ถ้าแบบยี่ห้อบ้านๆ จะแค่ 250 มก.ต่อแคปซูล)

แปลว่าต้องกินแบบฟ้าทะลายโจรผงหยาบ 45 แคปซูลต่อวัน

(ถ้าแบบยี่ห้อบ้านๆ ก็กินไป 72 แคปซูลต่อวัน)


บ้าแล้วค่ะ บ้ามากๆ ใครจะไปกินเยอะขนาดนั้น จะให้กินแทนข้าวเลยเหรอคะ?


แล้วถ้าเจอประกาศสธ. ให้กิน ap 180 มก. ต่อวัน คนเชื่อกินแล้วตับไตพังขึ้นมาก็โทษยาอีก


ภญ.สุภาภรณ์ ปิติพร ผู้ช่วยผู้อำนวยการด้านการแพทย์แผนไทย

และสมุนไพร โรงพยาบาล (รพ.) เจ้าพระยาอภัยภูเบศรวิจัยและแนะนำแบบผงหยาบ 

แต่คนไม่เชื่อไปกินแบบสารสกัดเพราะง่ายกว่า จำนวนเม็ดน้อยกว่า ตับไตพังขึ้นมาก็โทษยาอีก


ปกติแอดมินกินฟ้าทะลายโจรแบบผงหยาบเท่านั้น ไม่กินแบบสารสกัดเลย

ฟ้าทะลายโจรแบบผงบดหยาบขนาด 400 มก.ต่อแคปซูล วันละ 16 แคปซูล กินแค่ 5 วัน


ใครสนใจไปดูคุณสนธิเอาข้อมูลฟ้าทะลายโจรมาอธิบาย - https://youtu.be/Skh1vE4qT3U


แถมตอนนี้ในร้านออนไลน์ขายฟ้าทะลายโจรราคาดุเดือดมาก 


ยี่ห้ออภัยภูเบศรเคยซื้อขวดละ 70-80 บาท 60 แคปซูล ตอนนี้ราคาพุ่งขายกันขวดละ 199-399 บาท

ยี่ห้อใบห่อ ห่อละ 20 บาท ตอนนี้ราคาพุ่งห่อละ 80 บาท


ทั้งที่ฟ้าทะลายโจรมันงอกง่ายมาก ที่มันไม่พอคือนิสัยตุนของกัน ไม่ใช่ยาไม่พอ ผลิตไม่ทัน


เหมือนตอนแอลกอฮอล์เลยค่ะ ขวด 500 มล. พุ่งไปขวด 120 บาท ทั้งที่ราคาจริงแค่ 40 บาท 

ตอนนี้บริษัทที่ผลิตแอลกอฮอล์เลยเนียนขึ้นราคา ขวด 500 มล. 50-80 บาท

แอดมินอยากจะบอกว่าประเทศไทยปลูกอ้อยค่ะ แอลกอฮอล์ผลิตจากอ้อยมันไม่ควรจะแพงเลย

วันอาทิตย์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

Chaeyeon วง IZ*ONE ถูกแบนโพสต์บน Instagram ข้อหาโพสต์รูปทำร้ายจิตใจชาย 'เจี๊ยวเล็ก'!?

Chaeyeon วง IZ*ONE ถูกแบนโพสต์บน Instagram ข้อหาโพสต์รูปทำร้ายจิตใจชาย 'เจี๊ยวเล็ก'!?


ข่าวนี้เป็นเรื่องที่ผู้เขียนออกแนวเหวอจนต้องลัดคิวนำมาเขียนก่อน เมื่อคืนแวะเข้าดูเทรนด์ Twitter ก็เห็นทวีตที่ถูกรีทวีตมา

 


ทวิตเริ่มต้น (ผู้เขียนขอปกปิดไอดีทวิตดังกล่าว)


ผู้ทวิตเขียนว่า "ผู้ชายนี่ช่างไม่มั่นใจและน่าอายจริงๆ... พวกเขาแจ้งแบนให้สตอรี่ที่ไม่มีความผิดของเธอถูกลบ" ด้วยความงงว่าข้อความกับรูปมันเกี่ยวกันตรงไหน เลยลองอ่านคร่าวๆ ถึงได้รู้ว่าชาวเน็ตซึ่งส่วนใหญ่เป็นแฟนคลับ Chaeyeon วง IZ*ONE ในกระทู้กำลังหัวเสียและไม่เข้าใจที่ทำไมรูปที่เพื่อนทำมือล้อ Chaeyeon ว่า 'ตัวเล็กนิดเดียว' ถึงได้ถูกแจ้งแบนและถูกลบราวกับมันเป็นรูปที่ทำผิดกฎ Instagram อย่างร้ายแรง

 


นี่คือรูปต้นทางที่ปัจจุบันถูก Instagram นำออกไปแล้ว


คนที่รู้รายละเอียดก็มาอธิบายเพิ่มเติมว่า ต้นเหตุทั้งหมดเกิดจากการที่ชายเกาหลีส่วนใหญ่โดยเฉพาะกลุ่ม MRA (Men's Rights Activists - นักสิทธิบุรุษ) ไม่พอใจผู้หญิงและพวกเฟมินิสต์โดยเฉพาะกลุ่มเข้มข้นอย่าง Megalia และอ้างว่า 'ท่าจีบนิ้ว' (ฝรั่งเรียก 'Pinching Hand') คือท่าที่พวกเฟมินิสต์ใช้ล้อเลียนผู้ชายเกาหลีว่าเป็นพวก 'เจี๊ยวเล็ก' 

 


โลโก้ของกลุ่ม Megalia ปัจจุบันเว็บบอร์ดนี้ถูกปิดไปแล้ว (เนื้อหาเพิ่มเติมกลุ่ม Megalia อ่านได้ในบทความ Feminism ไม่ใช่ปีศาจร้ายและก็ไม่ใช่เลสเบี้ยนด้วย)


ชายเกาหลีเลยหวั่นไหวเป็นพิเศษทุกครั้งที่เห็นท่าจีบนิ้วไม่ว่าจะอยู่ในสื่อไหนหรือไม่ว่าเนื้อหาสื่อจะเป็นยังไง ทุกครั้งที่ชายเกาหลีเห็นท่าจีบนิ้วก็จะพร้อมใจกันกดดันให้สื่อหรือหน่วยงานนั้นๆ เอารูปออกและขอโทษ สื่อทั้งหมดก็ยอมทำตามที่ชายเกาหลีต้องการเสียด้วย 

 


ตัวอย่างป้ายประชาสัมพันธ์ โฆษณาไส้กรอก ไก่ทอด และสินค้าที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลยก็ถูกผู้ชายเกาหลีกดดันให้นำรูปออกและออกมาขอโทษ ทั้งที่บางโฆษณาผู้ออกแบบหรือผู้วางแผนงานก็เป็นผู้ชายด้วยกัน


หรือแม้แต่พิธีกรสาว Jaejae ที่ใช้นิ้วคีบช็อกโกแลตเข้าปากในงานพรมแดงก็ยังถูกผู้ชายที่ไม่พอใจรวมรายชื่อเพื่อแบนเธอไม่ให้ได้ออกสื่ออีกโดยกล่าวหาว่าเธอทำท่าแบบนี้เท่ากับ 'มีทัศนคติต่อต้านเพศชาย' แม้ว่าโปรดิวเซอร์ได้ออกแถลงอย่างเป็นทางการแล้วว่าทางทีมงานได้ช่วยกันออกแบบชุดและไอเดียต่างๆ ในงาน รวมถึงการที่ Jaejae ซุกถุงช็อกโกแลตไว้แล้วควักออกมากินเพื่อเป็นมุกตลกแต่ก็ไม่เป็นผล

 


ภาพ Jaejae ที่กำลังหยิบช็อกโกแลตกิน


ที่จริง 'ท่าจีบนิ้ว' นี้เคยมีดราม่าออกมาเป็นระยะๆ ตอนมีข่าวแม้แต่ชาวเกาหลีบน Twitter เองก็ยังงงว่า 'มันเหยียดเพศชายตรงไหน!?' บางคนแสดงความคิดเห็นไม่เคยรู้หรือไม่เคยเห็นหญิงที่ทำท่านี้โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อล้ออวัยวะเพศชายด้วยซ้ำ บ้างก็ตั้งคำถามว่า "ผู้ชายบุลลี่ผู้หญิงที่หน้าอกแบนและไล่ไปศัลยกรรมเยอะแยะ ถ้าจะถูกล้อเรื่องเจี๊ยวเล็กบ้างทำไมถึงรับไม่ได้" 


คนเกาหลีส่วนหนึ่งเชื่อว่าการต่อต้านท่าจีบนิ้วเกิดจากสื่อตะวันตกบิดเบือนให้การเรียกร้องของกลุ่มเฟมินิสต์กลายเป็นการเหยียดเพศชายโดยใช้ "ท่าจีบนิ้ว" เป็นสัญลักษณ์ 


มีความคิดเห็นบางส่วนกล่าวว่าดราม่า "ท่าจีบนิ้ว" คือเรื่องที่ผู้ชายต่อต้านเฟมินิสต์จงใจอุปโลกน์ขึ้นมาเพื่อลดความชอบธรรมของกลุ่มเฟมินิสต์ แล้วโยนความผิดว่าการคุกคามทางเพศหรือแอบถ่ายคลิป รวมทั้งการกระทำความรุนแรงต่างๆ ที่ผู้ชายกระทำต่อผู้หญิงเกาหลีล้วนแต่เกิดจากการที่กลุ่มเฟมินิสต์เกาหลีไม่เคารพผู้ชายและล้อเลียนผู้ชายเกาหลีว่า 'เจี๊ยวเล็ก' ผู้ชายจึงมีความชอบธรรมที่จะใช้มาตรการที่รุนแรงตอบโต้กลุ่มเฟมินิสต์และผู้หญิงเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีตนเอง  



ตัวอย่างความคิดเห็นบน Twitter ของชาวเกาหลีที่งุนงงว่าท่าจีบนิ้วเหยียดชายตั้งแต่เมื่อไรและไม่เห็นด้วยกับการนำเสนอของสื่อตะวันตก (ในที่นี้คือ LA Times)


หลังจากมีประเด็นท่าจีบนิ้วเว็บไซต์ Asian boss ก็ทำการสุ่มสัมภาษณ์คนทั่วไป ซึ่งประเมินจากสถานที่และการแต่งกายน่าจะเป็นกลุ่มคนชั้นกลาง ดูจากความคิดเห็นของผู้ให้สัมภาษณ์ก็พบว่าพวกเรารู้จักกลุ่มเฟมินิสต์หรือข้าใจเหตุผลที่กลุ่มเฟมินิสต์ออกมาเคลื่อนไหวแค่ผิวเผิน รู้เท่าที่สื่อเผยแพร่ว่าเฟมินิสต์ต้องการความก้าวหน้าทางการงานที่เท่ากันหรือเฟมินิสต์ต้องการกดขี่ผู้ชาย 


บางคนอ้างถึงประเทศอื่น เช่น ญี่ปุ่น ว่าสามารถก้าวข้ามประเด็นความเหลื่อมล้ำไปแล้วต่อไปในเกาหลีก็จะเหมือนกัน ทั้งที่ในความเป็นจริงญี่ปุ่นเป็นอีกประเทศที่กดขี่สิทธิ์ของผู้หญิงมากที่สุดในเอเชียตะวันออก เช่น กรณีมีการแก้คะแนนสอบเรียนต่อของผู้หญิงให้ลดลงหรือเพิ่มเกณฑ์การเข้ารับทำงานให้เข้มงวดขึ้นเฉพาะกับผู้หญิงเพื่อให้ผู้หญิงที่ผ่านเกณฑ์มีน้อยกว่าผู้ชาย 


สิ่งที่น่าคิดคือตอนท้ายมีผู้ให้สัมภาษณ์คนหนึ่งบอกว่า "คนสมัยนี้ไม่ได้คิดอะไรลึกซึ้งหรอก บางครั้งแค่ดูข่าวอ่านบทความหรือดูคลิปที่คนอื่นสรุปมาชิ้นเดียวก็พร้อมจะเชื่อแล้ว" ภาพลักษณ์ของเฟมินิสต์เกาหลีที่ออกมาแนวสุดโต่งหรือกดขี่ผู้ชาย ส่วนหนึ่งจึงเกิดจากการที่สื่อทั้งในเกาหลีและจากตะวันตกสร้างขึ้นเช่นกัน

 


ภาพจากคลิปสัมภาษณ์ของ Asian Boss


นาทีนี้ในเกาหลีผู้หญิงทำอะไรก็ผิดและมีสิทธิ์ถูกผู้ชายบุลลี่จนไม่ได้ผุดได้เกิดเอาง่ายๆ ถ้าไม่นับเรื่องการเหยียด การข่มขู่คุกคามทางเพศ การทำร้ายร่างกายในครอบครัว การถูกติดกล้องแอบถ่ายแล้วเอาไปขายเป็นหนังโป๊เถื่อนที่เกิดขึ้นในเกาหลีชนิดที่ตรงข้ามกับภาพลักษณ์อุดมคติพระเอกแสนดีอบอุ่นในซีรีส์, หนังและเว็บคอมิคที่ทำออกมาขายทั่วโลกอย่างสิ้นเชิงแล้ว


ในวงการดาราบันเทิงเกาหลีก็มีผู้หญิงที่ถูกผู้ชาย 'ล่าแม่มด' ด้วยข้อหา 'ส่งเสริมเฟมินิสต์' หรือ 'ต่อต้านเพศชาย' มาแล้วหลายราย เช่น Irene วง Red Velvet เคยพูดว่าตนอ่านหนังสือเรื่อง  Kim Ji Young, Born 1982 ที่เป็นวรรณกรรมเฟมินิสต์ก็ถูกกลุ่มผู้ชายที่โกรธแค้นข่มขู่คุกคามด่าทอบนเน็ตและลงรูปที่พวกตนเผาทำลายสินค้าที่มีรูปเธอ 


Kim Ji Young, Born 1982 เป็นนิยายทำยอดขายได้มากกว่า 1 ล้านเล่ม ถูกแปลไป 16 ประเทศ แปลเป็นไทยด้วยชื่อ คิมจียอง เกิดปี 82 โดยสำนักพิมพ์เอิร์นเนสต์ เรื่องเล่าตัวละครคิมจียองตั้งแต่เด็กจนถึงแต่งงานมีลูก โดยสะท้อนปัญหาการกดขี่, เหยียด, เลือกปฏิบัติกับผู้หญิงที่เกิดขึ้นจริงกับเกาหลี

 


ภาพ Irene วง Red Velvet ที่ถูกผู้ชายผู้โกรธแค้นทำลายรูปของเธอแล้วเผยแพร่ทางโซเชียล


Son Naeun วง Apink ถ่ายรูปตนถือมือถือที่สวมเคสมีข้อความว่า "Girls Can Do Anything" ลงในโซเชียล ทำให้ผู้ชายไม่พอใจโจมตีว่าเธอ 'ส่งเสริมเฟมินิสต์' ทำให้ในที่สุดเธอต้องลบรูปออกแล้วทางเอเจนซี่ก็ต้องออกมาแถลงว่า "เคสมือถือเป็นของขวัญที่ศิลปินได้รับจากงานที่ทางอเมริกันแฟชั่นแบรนด์จัดขึ้น" 

 


ภาพ Son Naeun บน Instagram กำลังถือมือถือที่บนเคสเขียน "Girls Can Do Anything"


อ่านจนมาถึงตรงนี้คงพอเห็นภาพแล้วว่าทำไมงวดนี้หวยถึงออกที่ Chaeyeon ผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ในขณะที่คนทั่วไปและเหล่าแฟนคลับมองรูปของ Chaeyeon ว่าน่ารักดีแต่ผู้ชายหลายคนยังปักใจเชื่อว่า Chaeyeon จงใจโพสต์รูปที่มีท่านี้เพื่อล้อเลียนผู้ชาย (ในบทความก่อนๆ ถึงผู้เขียนจะเคยบอกแล้วว่าชายเกาหลีเหยียดผู้หญิงมากแต่ไม่คิดว่าจะคิดหยุมหยิมไปหมดทุกเรื่องแบบที่ฝรั่งเรียกว่า 'Small Dick Energy' ขนาดนี้) คงต้องดูกันต่อไปว่า Chaeyeon จะถูกกดดันจนต้องออกมาขอโทษเหมือนที่พวกผู้ชายเคยทำกับดารานักร้องหญิงคนอื่นสำเร็จมาแล้วหรือไม่


ก่อนมีข่าวเรื่อง Chaeyeon ที่จริงเคยมีชาวต่างชาติใน Twitter ที่รู้ข่าวเรื่อง 'ท่าจีบนิ้ว' แล้วรู้สึกตลกกับเรื่องนี้มากขนาดตั้งกระทู้รวมรูปดาราไอดอลทั้งเกาหลีและจีนที่เคยทำ'ท่าจีบนิ้ว' แล้วโพสต์แซวกันว่าดาราคนนั้นคนนี้ก็เคยจีบนิ้วล้อ 'เจี๊ยวเล็ก' (เป็นการแซวขำๆ กันเองโดยที่ตัวศิลปินไม่ได้เกี่ยวข้องกับมุกนี้)

 


Brave Girls อีกกลุ่มศิลปินที่โฆษณาแบรนด์เบเกอรี่แค่ท่าจับขนมปังก็กลายเป็นประเด็นให้โดนโจมตี


1 ในนั้นมีรูปวง The9 (ถ้าจำไม่ผิดน่าจะช่วงที่เป็นเด็กฝึกเต้นเพลง A Little Bit ในรอบประกาศผลครั้งสุดท้าย) ทำให้แอบคิดเล่นๆ ว่าที่ IQiYi ไม่ให้ The9 แสดงเพลง A Little Bit อีกเลยเพราะข่าวนี้ด้วยหรือเปล่า (ฮา...) เสียดายที่ผู้เขียนไม่ได้เซฟกระทู้นั้นไว้ไม่งั้นคงเอามาใส่ไว้ตรงนี้ด้วย

 


The9 - Yuyan และ The 9 - Shaking หนึ่งในท่าเต้นหลักของเพลง  A Little Bit คือ 'ท่าจีบนิ้ว' ดีที่ The9 เป็นวงไอดอลจีน ลองนึกเล่นๆ ดูว่าถ้าเป็นวงเกาหลีไอดอลจะโดนดราม่าถาโถมขนาดไหน


อ้างอิง

http://www.koreaherald.com/view.php?ud=20210504000923

https://www.latestly.com/socially/social-viral/women-in-south-korea-ridicule-men-using-pinching-hand-emoji-to-protest-pay-and-labor-inequalities-2543003.html

https://www.todayonline.com/8days/sceneandheard/entertainment/korean-brands-remove-ads-featuring-hand-gesture-after-mens-rights

https://mothership.sg/2021/05/korea-pinching-gesture-jaejae/

https://kpophit.com/asian-boss-conduct-street-interviews-regarding-recent-feminist-backlash-in-korea-asian-junkie-kpophit/


วันพฤหัสบดีที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

โสเภณีถูกกฎหมาย (8) : การเก็บภาษีเงินได้จากอาชีพโสเภณี

โสเภณีถูกกฎหมาย (8) : การเก็บภาษีเงินได้จากอาชีพโสเภณี

ขายตัวถูกกฎหมายใครๆ ก็เป็นโสเภณีได้ง่ายจัง (8)

ข้อโต้แย้งประเด็น “เมื่อการขายตัวถูกกฎหมายรัฐจะสามารถเก็บภาษีอาชีพโสเภณีได้”

 


เหตุผลของผู้สนับสนุน - รัฐจะได้เก็บภาษีจากโสเภณีอย่างถูกต้อง โสเภณีไม่ต้องถูกเจ้าหน้าที่รัฐเอารัดเอาเปรียบและไม่ต้องถูกรีดไถอีกต่อไป


ประโยชน์หลักๆ ข้อหนึ่งที่ผู้สนับสนุนโสเภณีถูกกฎหมายมักจะอ้างคือ "การทำให้ถูกกฎหมายเงินจะได้เข้ารัฐ" แต่การที่เงินเข้ารัฐหมายถึงโสเภณีและซ่องต้องเสียภาษีเงินได้อย่างถูกต้อง 


คำถามคือ โสเภณีและซ่องพร้อมจะลงทะเบียนแจ้งรายได้สุทธิและเสียภาษีอย่างถูกต้องหรือไม่? 


ดูจากแนวโน้มแล้วผู้เขียนฟันธงได้เลยว่า "ไม่" 


เพราะขนาดพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ก็ยังเลี่ยงไม่ยอมแจ้งรายได้จริงเพื่อเสียภาษีให้รัฐอย่างถูกต้องเลยนับประสาอะไรกับโสเภณี จะมีกี่คนที่ยอมแจ้งสรรพากรว่าประตูหนึ่งจำนวนกี่บาท เดือนหนึ่งทำได้กี่ประตูแล้วรายได้ต่อปีรวมเท่าไรเพื่อคำนวณภาษี 


ฉะนั้นต่อให้การค้าประเวณีถูกกฎหมายและซ่องสามารถขึ้นทะเบียนเป็นสถานประกอบการถูกกฎหมายได้ ในทางปฏิบัติโสเภณีและซ่องส่วนใหญ่ก็จะยังไม่ยอมจดทะเบียนแล้วเลือกที่จะเลี่ยงภาษีอยู่ดี


หากจะโต้แย้งว่า "ขายของออนไลน์มีการจ่ายภาษีแบบเหมาจ่ายแล้ว โสเภณีจะจ่ายแบบนั้นก็ได้" จริงอยู่การเหมาจ่ายอาจจะเป็นวิธีจ่ายภาษีที่ง่าย แต่ด้วยความรู้พื้นฐานด้านภาษีทำให้ผู้เขียนเห็นช่องโหว่บางประการ (ผู้ที่มีความรู้ด้านภาษีมากกว่าผู้เขียนสามารถให้ความรู้เพิ่มเติมได้ ผู้เขียนขอขอบคุณล่วงหน้า) ช่องโหว่ที่ว่าคือ


1. จะมีกี่คนที่จะยอมจ่ายภาษีให้รัฐโดยยอมรับการตรวจสอบรายได้ด้วยการระบุอาชีพของตนอย่างตรงไปตรงมาว่าเป็น "โสเภณี" โดยไม่เลี่ยงไปกรอกเป็นอาชีพ "รับจ้าง" หรือ "อิสระ" ซึ่งถ้าผู้ขายตัวไม่ยอมระบุอาชีพจริงว่าตนเองเป็น "โสเภณี" แล้วรัฐจะรวบรวมข้อมูลภาษีจากการค้ากามอย่างถูกต้องได้อย่างไร 



2. ในทางปฏิบัติเราไม่สามารถนำรายได้จากการขายตัวมาคิดภาษีแบบการเหมาจ่ายแบบการขายของออนไลน์ได้ เพราะการขายตัวไม่ใช่การขายสินค้า


โดยพื้นฐานแล้วการเสียภาษีจากการค้าขายสินค้ามี 3 แบบคือ


- หักค่าใช้จ่ายตามอัตรา 60% ของเงินได้ สำหรับร้านที่ดำเนินการแบบซื้อมา ขายไป ไม่มีการผลิตภายในร้าน

- หักตามค่าใช้จ่ายจริง สำหรับร้าน ที่มีการผลิตภายในร้าน

- หักแบบเหมา กรณีที่มีรายได้จากช่องทางออนไลน์เกิน 1,000,000 บาท โดยคิดภาษีเป็น 0.5% ของเงินได้


ถ้าผู้สนับสนุนการค้ากามยืนยันให้ใช้เกณฑ์เดียวกันกับการขายสินค้า ผู้เขียนขอถามกลับว่า "อะไรคือสินค้าที่โสเภณีขาย? "


การซื้อขายหมายถึงการที่สินค้าถูกแลกเปลี่ยนด้วยเงินไปเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ซื้อ แต่ "การขายตัว" ตัวของโสเภณีไม่ได้ถูกถ่ายเปลี่ยนกรรมสิทธิ์ไปสู่ผู้ซื้อจึงไม่นับเป็นการซื้อขายสินค้า (ซึ่งถ้าร่างกายของโสเภณีถูกโอนกรรมสิทธิ์ของผู้ซื้อเมื่อไรนั่นคือ "การค้ามนุษย์" )


การคิดภาษีจากการขายสินค้า ผู้ขายต้องสามารถระบุต้นทุนได้ว่าสินค้าที่ตนขายมีต้นทุนเท่าไร หากใช้เกณฑ์เดียวกันโสเภณีจะเอาอะไรมาประเมินเป็นต้นทุน? 


ถ้าหมายถึง "อวัยวะเพศ" นั่นคือ โสเภณีจะต้องพร้อมจะเอาอวัยวะเพศของตัวเองมาให้เจ้าหน้าที่ ชั่ง ตวง วัด ทดสอบคุณภาพ ประเมินราคาเพื่อตีเป็นต้นทุน แล้วถ้าจะใช้เกณฑ์นี้จริงๆ ต้องให้เจ้าหน้าที่คำนวณค่าเสื่อมสภาพของอวัยวะเพศเพื่อประเมินราคาใหม่ทุกปีด้วยหรือไม่? แล้วถ้าเจ้าหน้าที่ประเมินได้ราคาน้อยโสเภณียอมรับได้หรือไม่?


ดังนั้นการเทียบการขายตัวกับการขายสินค้านั้นตัดทิ้งไปได้เลย


แต่ถ้าผู้สนับสนุนยังยืนยันว่า "การคิดภาษีแบบหักค่าใช้จ่าย 60% หรือหักแบบเหมานั้นใช้กับการขายตัวได้"


นั่นก็แสดงถึงทัศนคติที่แท้จริงของผู้สนับสนุนการค้ากามว่าคนเหล่านี้มองโสเภณีเป็นแค่สินค้า, เป็นแค่วัตถุไว้ซื้อขาย


ฉะนั้นเลิกพูดแบบโลกสวยได้แล้วว่า "การค้ากามอิสระคือการให้เกียรติโสเภณีในฐานะมนุษย์ที่เท่าเทียมกับอาชีพอื่น" เพราะมันคือคำโกหก ผู้สนับสนุนการค้ากามไม่ได้เห็นโสเภณีเป็นคนตั้งแต่แรกแล้ว 


หรือผู้สนับสนุนการค้ากามจะเถียงข้างๆ คูๆ ต่อว่า "ตอนไม่ได้ขายตัวโสเภณีก็เป็นคน แต่ตอนกำลังขายโสเภณีถึงเป็นสินค้า" ล่ะ



 3. หากจะคำนวณภาษีจากการขายตัวบนสมมุติฐานที่ว่ามันคือ "การให้เช่าอวัยวะเพศ" 


นั่นคือเราต้องนำรายได้จากการขายตัวมาเทียบกับเกณฑ์การเสียภาษีประเภทที่ 5 "รายได้จากค่าเช่า" ซึ่งเป็นรายได้จากค่าเช่าทุกประเภททั้งสังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ พูดง่ายๆ ก็คือ การเช่าอวัยวะเพศจะเทียบเคียงได้กับ "การเช่าทรัพย์สินอื่นๆ " อย่างเช่น สัตว์แรงงานและสัตว์เลี้ยง เช่น วัว ควาย หมา แมว


บนสมมุติฐานนี้การคิดภาษีจากการขายตัวก็เท่ากับการที่โสเภณีจะถูกลดคุณค่าตัวเองลงไปเท่ากับ "สัตว์" ที่จัดเป็นทรัพย์สินประเภทหนึ่ง


ตามปกติคนที่มีรายได้จากค่าเช่าจะนำรายได้ไปเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หมวด 40(5) ประเภทการเช่าทรัพย์สินอื่นๆ ที่มีการหักค่าลดหย่อนแบบเหมา 10% หรือหักค่าลดหย่อนตามจริง ซึ่งหากจะนำรายได้จากการขายตัวมาหักค่าลดหย่อนตามจริงก็จะเกิดปัญหาเหมือนกับการคิดค่าลดหย่อนภาษีจากการขายสินค้า คือ ไม่สามารถหาเอกสารยืนยันได้ (กรณี เช่าอาคาร, บ้าน เจ้าของจะต้องจ่ายภาษีโรงเรือนซึ่งนำไปขอลดหย่อนภาษีเงินได้)


4. ถ้าจัดประเภทการขายตัวเป็นงานบริการแบบหมอนวดแผนไทย นั่นคือเราต้องระบุให้ชัดเจนก่อนว่าโสเภณีเป็น "บุคคล" ไม่ใช่สถานประกอบการ และเมื่อมีสถานะเป็นบุคคลจะมีลักษณะรายได้เป็น เงินเดือน, ค่าจ้าง, โบนัส, ค่าแรง ซึ่งจะนำรายได้เหล่านี้ไปคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 


ปัญหาก็จะวนกลับมาอยู่ที่การจะเสียภาษีผู้เสียภาษีต้องยื่นเอกสารเพื่อยืนยันรายได้ มนุษย์เงินเดือนจะมีหน่วยงานหรือ บริษัทออกเอกสารให้ ผู้ประกอบอาชีพอิสระจะมีเอกสารหักภาษี ณ ที่จ่ายจากผู้ว่าจ้าง หรือหากไม่มีก็ต้องทำเอกสารยืนยันรายได้ด้วยตนเอง 


หากโสเภณีอยู่ในสังกัดซ่องถูกกฎหมาย (อ่านปัญหา "ถ้าโสเภณีทำงานแบบมนุษย์เงินเดือน" เพิ่มเติมได้จากหัวข้อ (6) ประกันสังคมและกฎหมายแรงงาน - มาตรา 33) ซ่องจะเป็นผู้ออกเอกสารยืนยันรายได้ให้ทั้งแบบจ้างเป็นพนักงานประจำรายเดือนหรือพนักงานชั่วคราวรายชั่วโมงก็ออกเป็นเอกสารหักภาษี ณ ที่จ่าย 


แต่ถ้าโสเภณีที่ไม่มีสังกัดจะเสียภาษีก็ต้องทำแบบผู้ประกอบอาชีพอิสระคือต้องทำเอกสารยืนยันรายได้ทั้งหมดด้วยตนเอง โสเภณีจะต้องรวบรวมหลักฐานการได้รับเงินค่าขายตัวทุกครั้ง เช่น หลักฐานการโอนเงิน แต่ถ้าผู้ซื้อจ่ายเป็นเงินสด โสเภณีก็ต้องทำบัญชีชี้แจงอย่างชัดเจนและแน่นอนว่าหากโสเภณีส่งหลักฐานไม่ครบ,ไม่ยื่นภาษีจะด้วยความจงใจหรือไม่ก็ตาม สรรพากรไม่มีปัญญาตามตรวจสอบโสเภณีได้ทุกคน นั่นคือมีความเป็นไปได้ที่ผู้ทำอาชีพโสเภณีแบบไม่มีสังกัดจะหลบเลี่ยงภาษีสูงมาก


ทำให้ผลสุดท้ายรัฐก็ไม่สามารถเก็บภาษีตามจริงจากการขายบริการทางเพศของกลุ่มโสเภณีไม่มีสังกัดได้อยู่ดี


ที่น่าคิดคือผู้สนับสนุนการค้ากามถูกกฎหมายส่วนใหญ่แสดงความคิดเห็นออกแนวต้องการเป็น "โสเภณีแบบไม่มีสังกัด" มากกว่ามีสังกัดกันทั้งนั้น


แล้วแบบนี้ยังจะเชื่อลมปากผู้สนับสนุนการค้ากามที่อ้างว่า "หากอนุญาตให้การค้ากามถูกกฎหมายรัฐจะสามารถเก็บภาษีจากโสเภณีได้" อีกหรือ



 จากข่าวแม่ค้าคนหนึ่งออกมาโวยวายหลังนำร้านเข้าโครงการคนละครึ่งแล้วโดนเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง (ข้อเท็จจริงเป็นรายได้ปี 2563 ที่ต้องยื่นและเสียภาษีในปี 2564 ไม่ใช่การเก็บย้อนหลัง แม่ค้าคนนั้นมีรายได้จำนวนมากจนการคิดภาษีสูงเกือบแสนบาทแต่กลับไม่ยื่นภาษีเงินได้) หลังรู้ข่าวก็มีร้านค้าจำนวนมากแห่ยกเลิกการใช้จ่ายเงินผ่านโครงการคนละครึ่งทันทีเพราะกลัวจะโดนเรียกเก็บภาษีไปด้วย เรื่องนี้สะท้อนค่านิยมและทัศนคติของคนในสังคมได้ดีว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่ต้องการเปิดเผยรายได้จริงเพราะไม่อยากจ่ายภาษีให้กับรัฐ ผู้ขายตัวส่วนใหญ่ก็มีค่านิยมไม่แตกต่างจากแม่ค้าเหล่านี้


เมื่อพูดถึงการเก็บภาษีทำให้นึกถึงเรื่องการทำบัตรยืนยันตัวว่าเป็นผู้ประกอบอาชีพโสเภณีของเยอรมันที่ผู้เขียนเคยกล่าวถึงในหัวข้อที่ 7 การดูแลจากหน่วยงานรัฐ


ใบอนุญาตค้ากามมีไว้เพื่อให้รัฐตรวจสอบได้ว่าใครเป็นผู้ค้าบริการทางเพศและใครไม่ได้ค้า อย่างที่ผู้เขียนเคยเขียนไว้ในบทก่อนหน้า ขนาดใบขับขี่, บัตรประชาชน ยังถูกปลอมแปลงได้ หากมีการนำบัตรแสดงตัวเป็นผู้ขายบริการมาใช้ในประเทศนี้บัตรที่ว่าก็จะถูกนำมาปลอมแปลงได้เช่นกัน ซึ่งผู้ที่ปลอมแปลงอาจทำเพราะอยากขายตัวแต่ตนเองไม่มีคุณสมบัติตามที่รัฐกำหนด เช่น เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์, เป็นคนต่างด้าว, อายุต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด หรืออาจจะเป็นพวกแมงดา, สถานบริการ, ซ่อง ที่จงใจทำเอกสารปลอมเพื่อที่จะลักลอบนำเด็กหรือผู้หญิงที่ได้มาจากการค้ามนุษย์มาขายรวมกับโสเภณีที่มีบัตรอนุญาตถูกต้อง


แน่นอนว่ารัฐไม่มีทางเก็บภาษีจากผู้ใช้ใบอนุญาตปลอมได้เช่นกัน


เมื่อมีการปลอมใบอนุญาต ผู้ซื้อบริการทางเพศก็เสี่ยงที่จะทำผิดกฎหมาย เช่น ซื้อบริการทางเพศเด็กอายุต่ำกว่า 18 หรือซื้อคนที่อยู่ในกระบวนการค้ามนุษย์โดยไม่รู้ตัว


เมื่อมีการปลอมใบอนุญาต ผู้ที่ถือบัตรปลอมไม่มีทางไปตรวจโรคตามระเบียบที่หน่วยงานรัฐกำหนดและจะใช้วิธีปลอมใบตรวจโรคเพิ่มอีกใบเพื่อประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย ทำให้ผู้ซื้อบริการมีความเสี่ยงที่จะติดโรคมากขึ้นโดยที่ใบอนุญาตไม่ได้ช่วยอะไรเลย

 


รูปแสดง โสเภณีกำลังแสดงบัตรประจำตัว 


นอกจากนี้ยังมีผู้สนับสนุนการค้ากามที่เป็นผู้หญิงจำนวนมากแสดงความคิดเห็นในลักษณะ "ถ้ามีการเปิดให้ทำใบอนุญาตขายตัวได้ก็น่าไปทำเผื่อไว้ก่อน ตอนถูกเจ้าหน้าที่รัฐจับจะได้มาเล่นงานยัดข้อหาเราไม่ได้"


นี่คือทัศนคติที่บิดเบี้ยวเพราะใบอนุญาตขายตัวไม่ใช่ใบขับขี่ที่มีไว้ก็ดีกว่าไม่มี


หากผู้หญิงในสังคมจำนวนที่มากแสดงทัศนคติและมีค่านิยมว่าต้องการมีใบอนุญาตค้าบริการทางเพศ "สำรอง" ไว้ก่อน ผู้ชายในสังคมก็จะอนุมานเข้าข้างตัวเองไว้ก่อนว่าผู้หญิงที่ตนหมายตา "มีใบอนุญาตขาย" ด้วย ทำให้ความยับยั้งชั่งใจ, ความเกรงใจทางเพศต่อผู้หญิงก็จะลดลงและนำมาซึ่งการคุกคามทางเพศและคดีข่มขืนที่จะเกิดตามมามากขึ้น


และเมื่อมีคดีข่มขืน, คุกคามหรือการใช้ความรุนแรงเกิดขึ้น เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบว่าผู้หญิงที่เป็นเหยื่อได้มีการขึ้นทะเบียนเป็นผู้ขายบริการทางเพศไว้ เจ้าหน้าที่มักจะตัดประเด็นการข่มขืน, คุกคามทางเพศออกทันทีแล้วจะปัดไปเป็นคดีฉ้อโกงที่ผู้ขายและผู้ซื้อไม่สามารถตกลงราคาค่าใช้บริการกันได้


หากมีการปัดคดีข่มขืนให้กลายเป็นคดีฉ้อโกงบ่อยขึ้นก็จะทำให้สังคมเกิดความชาชิน หลังจากนั้นผู้ชายที่ควบคุมกำหนัดไม่ได้ก็จะใช้บัตรอนุญาตขายตัวเป็นข้ออ้างในการข่มขืนก่อน เมื่อเหยื่อแจ้งความเอาเรื่องค่อยอ้างว่า "มีบัตรก็ต้องขายสิ" "ไม่รู้...คิดว่าขาย" "ใครจะไปรู้ว่าไม่มีบัตร" หรือ "คิดว่ามีบัตรขายตัว" ฯลฯ นั่นทำให้ผู้หญิงที่มีบัตรแต่ไม่ต้องการขายบริการทางเพศหรือแม้แต่ผู้หญิงที่ไม่มีบัตรก็จะถูกเหมารวมว่า "ขาย" และมีความเสี่ยงที่จะถูกลวนลามและข่มขืนเพิ่มขึ้นจนไม่มีความปลอดภัยในชีวิตอีกต่อไป

 

ใบอนุญาตขายตัวสมัยก่อนซึ่งทำให้ฉุกคิดว่า ถึงมีการอนุญาตให้ขายตัวมานานแล้วแต่คุณภาพชีวิตของโสเภณีในประเทศที่ออกใบอนุญาตนั้นไม่ได้ดีขึ้นมาเลย


สำหรับผู้เขียน การขายตัวไม่นับว่าเป็นงานบริการเพราะไม่ได้ใช้ทักษะอาชีพจริงๆ อย่างที่เคยตั้งคำถามไปว่า "ทำไมเด็กสาวบริสุทธิ์จึงได้ค่าเปิดบริสุทธิ์แพงกว่าอีตัวที่ขายตัวมานาน" ต่างจาก "หมอนวดแผนไทยที่ยิ่งประสบการณ์เยอะมีทักษะค่าแรงยิ่งแพงคิวยิ่งยาว" 


การขายตัวคือ "การเช่าอวัยวะเพศ" ที่ผู้ซื้อจ่ายเงินเพื่อยืมอวัยวะเพศของผู้ขายระบายความใคร่ ดังนั้น สถานภาพของผู้ขายตัวก็ไม่ต่างจากวัวควายที่ถูกเช่าไว้ไถนาใช้แรงงานแลกกับค่าตอบแทน หรือแย่กว่านั้นคือไม่ต่างจาก "จิ๋มกระป๋อง" เลย


ผู้เขียนเขียนบทความชุดนี้ขึ้นมาเพื่อต้องการเตือนสติผู้หญิงที่ยังมีทางเลือกในชีวิตว่าอย่ารักสบาย อย่ามองการขายตัวเป็นอาชีพที่ควรเลือกเป็นอาชีพแรกๆ เพราะในระยะยาวไม่มีผู้หญิงที่สร้างเนื้อสร้างตัว มีความมั่นคง ภาคภูมิใจในชีวิตได้จากการเป็นโสเภณี ส่วนใหญ่เมื่อแก่ตัวก็ต้องอยู่อย่างอดอยาก ไม่มีเงินเก็บ ร่างกายทรุดโทรม ติดโรค ติดยาเสพติด มีปัญหาทางสุขภาพจิตที่เกิดจากการขายตัว


อย่าหลงลมปากของผู้ชายมักมากที่อ้างสิทธิเสรีภาพเพื่อผลักดันให้ผู้หญิงขายตัวกันเยอะๆ เพราะพวกเขาสนแต่ว่าอยากให้ในท้องตลาดมีผู้หญิงใหม่ๆ เต็มใจเข้ามาเป็น "สินค้า" ให้พวกเขาได้เลือกซื้อเลือกใช้ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเยอะๆ

 

ผู้ซื้อเหล่านั้นเป็นผู้ได้ผลประโยชน์โดยไม่ต้องเสียอะไรแต่ผู้หญิงที่ขายตัวมีสิ่งที่ต้องเสียมากมาย แม้จะไม่เห็นผลในระยะแรกแต่ในระยะยาวมีน้อยคนมากที่จะยังขายตัวอยู่ได้โดยที่สภาพร่างกายและจิตใจยังสมบูรณ์อยู่ ผลสุดท้ายเมื่อผู้ซื้อเห็นผู้หญิงที่พวกเขาซื้อไม่สวยไม่สดไม่ถูกใจพวกเขาอีกแล้ว พวกเขาพร้อมเสมอที่จะหันกลับมาด่าผู้หญิงเหล่านั้นว่า "กะหรี่"



ที่มาของรูปและอ้างอิง

https://www.abebooks.com/blog/2017/06/07/how-the-west-was-regulated-a-dodge-city-license-for-prostitution-in-1876

https://www.google.com/url?sa=i&url=https%3A%2F%2Fwww.shutterstock.com%2Feditorial%2Fimage-editorial%2Fprostitution-law-requires-registration-hamburg-germany-03-jan-2018-9306822e&psig=AOvVaw3pg-77RlSc2gT4KxFfsd0u&ust=1617436866484000&source=images&cd=vfe&ved=2ahUKEwjM9qCAjN_vAhXPgmMGHR5ND_MQjRx6BAgAEAc

https://www.freevector.com/income-tax-vector-art-24863#

https://www.prachachat.net/finance/news-596409

http://old-book.ru.ac.th/e-book/l/LW204(48)/lw204(48)-2.pdf

https://www.itax.in.th/pedia/เงินได้ประเภทที่-5/

https://www.baania.com/th/article/ภาษีค่าเช่าบ้าน-เรื่องต้องรู้ของคนปล่อยเช่า--5f0fbed3159c3b5792ffddc4


วันศุกร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

ปกตอน 213

 


#delvento ตอน 213 : http://www.comico.in.th/titles/130/chapters/221

...

ตอน 213 จะอัพวันอาทิตย์ที่ 4 ก.ค. 2564 และมีความเป็นไปได้ว่าจะต้องขอหยุดอาทิตย์ถัดไปเพราะนักเขียน (เจ๊ธิ/กระเบน) มีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นซึ่งก็คงต้องแก้ปัญหาจัดการกัน รวมทั้งมีกำหนดฉีดวัคซีนซึ่งก็ไม่รู้ว่าเราจะแพ้หรือมีผลอะไรข้างเคียงหรือไม่

ขอให้ทุกคนดูแลสุขภาพกันมากๆๆๆๆ นะคะ อย่าประมาท อย่าคิดว่าเราไม่เป็นอะไร อย่าการ์ดตกนะคะ

ขอพระเจ้าทรงคุ้มครอง