วันพฤหัสบดีที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

โสเภณีถูกกฎหมาย (8) : การเก็บภาษีเงินได้จากอาชีพโสเภณี

โสเภณีถูกกฎหมาย (8) : การเก็บภาษีเงินได้จากอาชีพโสเภณี

ขายตัวถูกกฎหมายใครๆ ก็เป็นโสเภณีได้ง่ายจัง (8)

ข้อโต้แย้งประเด็น “เมื่อการขายตัวถูกกฎหมายรัฐจะสามารถเก็บภาษีอาชีพโสเภณีได้”

 


เหตุผลของผู้สนับสนุน - รัฐจะได้เก็บภาษีจากโสเภณีอย่างถูกต้อง โสเภณีไม่ต้องถูกเจ้าหน้าที่รัฐเอารัดเอาเปรียบและไม่ต้องถูกรีดไถอีกต่อไป


ประโยชน์หลักๆ ข้อหนึ่งที่ผู้สนับสนุนโสเภณีถูกกฎหมายมักจะอ้างคือ "การทำให้ถูกกฎหมายเงินจะได้เข้ารัฐ" แต่การที่เงินเข้ารัฐหมายถึงโสเภณีและซ่องต้องเสียภาษีเงินได้อย่างถูกต้อง 


คำถามคือ โสเภณีและซ่องพร้อมจะลงทะเบียนแจ้งรายได้สุทธิและเสียภาษีอย่างถูกต้องหรือไม่? 


ดูจากแนวโน้มแล้วผู้เขียนฟันธงได้เลยว่า "ไม่" 


เพราะขนาดพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ก็ยังเลี่ยงไม่ยอมแจ้งรายได้จริงเพื่อเสียภาษีให้รัฐอย่างถูกต้องเลยนับประสาอะไรกับโสเภณี จะมีกี่คนที่ยอมแจ้งสรรพากรว่าประตูหนึ่งจำนวนกี่บาท เดือนหนึ่งทำได้กี่ประตูแล้วรายได้ต่อปีรวมเท่าไรเพื่อคำนวณภาษี 


ฉะนั้นต่อให้การค้าประเวณีถูกกฎหมายและซ่องสามารถขึ้นทะเบียนเป็นสถานประกอบการถูกกฎหมายได้ ในทางปฏิบัติโสเภณีและซ่องส่วนใหญ่ก็จะยังไม่ยอมจดทะเบียนแล้วเลือกที่จะเลี่ยงภาษีอยู่ดี


หากจะโต้แย้งว่า "ขายของออนไลน์มีการจ่ายภาษีแบบเหมาจ่ายแล้ว โสเภณีจะจ่ายแบบนั้นก็ได้" จริงอยู่การเหมาจ่ายอาจจะเป็นวิธีจ่ายภาษีที่ง่าย แต่ด้วยความรู้พื้นฐานด้านภาษีทำให้ผู้เขียนเห็นช่องโหว่บางประการ (ผู้ที่มีความรู้ด้านภาษีมากกว่าผู้เขียนสามารถให้ความรู้เพิ่มเติมได้ ผู้เขียนขอขอบคุณล่วงหน้า) ช่องโหว่ที่ว่าคือ


1. จะมีกี่คนที่จะยอมจ่ายภาษีให้รัฐโดยยอมรับการตรวจสอบรายได้ด้วยการระบุอาชีพของตนอย่างตรงไปตรงมาว่าเป็น "โสเภณี" โดยไม่เลี่ยงไปกรอกเป็นอาชีพ "รับจ้าง" หรือ "อิสระ" ซึ่งถ้าผู้ขายตัวไม่ยอมระบุอาชีพจริงว่าตนเองเป็น "โสเภณี" แล้วรัฐจะรวบรวมข้อมูลภาษีจากการค้ากามอย่างถูกต้องได้อย่างไร 



2. ในทางปฏิบัติเราไม่สามารถนำรายได้จากการขายตัวมาคิดภาษีแบบการเหมาจ่ายแบบการขายของออนไลน์ได้ เพราะการขายตัวไม่ใช่การขายสินค้า


โดยพื้นฐานแล้วการเสียภาษีจากการค้าขายสินค้ามี 3 แบบคือ


- หักค่าใช้จ่ายตามอัตรา 60% ของเงินได้ สำหรับร้านที่ดำเนินการแบบซื้อมา ขายไป ไม่มีการผลิตภายในร้าน

- หักตามค่าใช้จ่ายจริง สำหรับร้าน ที่มีการผลิตภายในร้าน

- หักแบบเหมา กรณีที่มีรายได้จากช่องทางออนไลน์เกิน 1,000,000 บาท โดยคิดภาษีเป็น 0.5% ของเงินได้


ถ้าผู้สนับสนุนการค้ากามยืนยันให้ใช้เกณฑ์เดียวกันกับการขายสินค้า ผู้เขียนขอถามกลับว่า "อะไรคือสินค้าที่โสเภณีขาย? "


การซื้อขายหมายถึงการที่สินค้าถูกแลกเปลี่ยนด้วยเงินไปเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ซื้อ แต่ "การขายตัว" ตัวของโสเภณีไม่ได้ถูกถ่ายเปลี่ยนกรรมสิทธิ์ไปสู่ผู้ซื้อจึงไม่นับเป็นการซื้อขายสินค้า (ซึ่งถ้าร่างกายของโสเภณีถูกโอนกรรมสิทธิ์ของผู้ซื้อเมื่อไรนั่นคือ "การค้ามนุษย์" )


การคิดภาษีจากการขายสินค้า ผู้ขายต้องสามารถระบุต้นทุนได้ว่าสินค้าที่ตนขายมีต้นทุนเท่าไร หากใช้เกณฑ์เดียวกันโสเภณีจะเอาอะไรมาประเมินเป็นต้นทุน? 


ถ้าหมายถึง "อวัยวะเพศ" นั่นคือ โสเภณีจะต้องพร้อมจะเอาอวัยวะเพศของตัวเองมาให้เจ้าหน้าที่ ชั่ง ตวง วัด ทดสอบคุณภาพ ประเมินราคาเพื่อตีเป็นต้นทุน แล้วถ้าจะใช้เกณฑ์นี้จริงๆ ต้องให้เจ้าหน้าที่คำนวณค่าเสื่อมสภาพของอวัยวะเพศเพื่อประเมินราคาใหม่ทุกปีด้วยหรือไม่? แล้วถ้าเจ้าหน้าที่ประเมินได้ราคาน้อยโสเภณียอมรับได้หรือไม่?


ดังนั้นการเทียบการขายตัวกับการขายสินค้านั้นตัดทิ้งไปได้เลย


แต่ถ้าผู้สนับสนุนยังยืนยันว่า "การคิดภาษีแบบหักค่าใช้จ่าย 60% หรือหักแบบเหมานั้นใช้กับการขายตัวได้"


นั่นก็แสดงถึงทัศนคติที่แท้จริงของผู้สนับสนุนการค้ากามว่าคนเหล่านี้มองโสเภณีเป็นแค่สินค้า, เป็นแค่วัตถุไว้ซื้อขาย


ฉะนั้นเลิกพูดแบบโลกสวยได้แล้วว่า "การค้ากามอิสระคือการให้เกียรติโสเภณีในฐานะมนุษย์ที่เท่าเทียมกับอาชีพอื่น" เพราะมันคือคำโกหก ผู้สนับสนุนการค้ากามไม่ได้เห็นโสเภณีเป็นคนตั้งแต่แรกแล้ว 


หรือผู้สนับสนุนการค้ากามจะเถียงข้างๆ คูๆ ต่อว่า "ตอนไม่ได้ขายตัวโสเภณีก็เป็นคน แต่ตอนกำลังขายโสเภณีถึงเป็นสินค้า" ล่ะ



 3. หากจะคำนวณภาษีจากการขายตัวบนสมมุติฐานที่ว่ามันคือ "การให้เช่าอวัยวะเพศ" 


นั่นคือเราต้องนำรายได้จากการขายตัวมาเทียบกับเกณฑ์การเสียภาษีประเภทที่ 5 "รายได้จากค่าเช่า" ซึ่งเป็นรายได้จากค่าเช่าทุกประเภททั้งสังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ พูดง่ายๆ ก็คือ การเช่าอวัยวะเพศจะเทียบเคียงได้กับ "การเช่าทรัพย์สินอื่นๆ " อย่างเช่น สัตว์แรงงานและสัตว์เลี้ยง เช่น วัว ควาย หมา แมว


บนสมมุติฐานนี้การคิดภาษีจากการขายตัวก็เท่ากับการที่โสเภณีจะถูกลดคุณค่าตัวเองลงไปเท่ากับ "สัตว์" ที่จัดเป็นทรัพย์สินประเภทหนึ่ง


ตามปกติคนที่มีรายได้จากค่าเช่าจะนำรายได้ไปเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หมวด 40(5) ประเภทการเช่าทรัพย์สินอื่นๆ ที่มีการหักค่าลดหย่อนแบบเหมา 10% หรือหักค่าลดหย่อนตามจริง ซึ่งหากจะนำรายได้จากการขายตัวมาหักค่าลดหย่อนตามจริงก็จะเกิดปัญหาเหมือนกับการคิดค่าลดหย่อนภาษีจากการขายสินค้า คือ ไม่สามารถหาเอกสารยืนยันได้ (กรณี เช่าอาคาร, บ้าน เจ้าของจะต้องจ่ายภาษีโรงเรือนซึ่งนำไปขอลดหย่อนภาษีเงินได้)


4. ถ้าจัดประเภทการขายตัวเป็นงานบริการแบบหมอนวดแผนไทย นั่นคือเราต้องระบุให้ชัดเจนก่อนว่าโสเภณีเป็น "บุคคล" ไม่ใช่สถานประกอบการ และเมื่อมีสถานะเป็นบุคคลจะมีลักษณะรายได้เป็น เงินเดือน, ค่าจ้าง, โบนัส, ค่าแรง ซึ่งจะนำรายได้เหล่านี้ไปคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 


ปัญหาก็จะวนกลับมาอยู่ที่การจะเสียภาษีผู้เสียภาษีต้องยื่นเอกสารเพื่อยืนยันรายได้ มนุษย์เงินเดือนจะมีหน่วยงานหรือ บริษัทออกเอกสารให้ ผู้ประกอบอาชีพอิสระจะมีเอกสารหักภาษี ณ ที่จ่ายจากผู้ว่าจ้าง หรือหากไม่มีก็ต้องทำเอกสารยืนยันรายได้ด้วยตนเอง 


หากโสเภณีอยู่ในสังกัดซ่องถูกกฎหมาย (อ่านปัญหา "ถ้าโสเภณีทำงานแบบมนุษย์เงินเดือน" เพิ่มเติมได้จากหัวข้อ (6) ประกันสังคมและกฎหมายแรงงาน - มาตรา 33) ซ่องจะเป็นผู้ออกเอกสารยืนยันรายได้ให้ทั้งแบบจ้างเป็นพนักงานประจำรายเดือนหรือพนักงานชั่วคราวรายชั่วโมงก็ออกเป็นเอกสารหักภาษี ณ ที่จ่าย 


แต่ถ้าโสเภณีที่ไม่มีสังกัดจะเสียภาษีก็ต้องทำแบบผู้ประกอบอาชีพอิสระคือต้องทำเอกสารยืนยันรายได้ทั้งหมดด้วยตนเอง โสเภณีจะต้องรวบรวมหลักฐานการได้รับเงินค่าขายตัวทุกครั้ง เช่น หลักฐานการโอนเงิน แต่ถ้าผู้ซื้อจ่ายเป็นเงินสด โสเภณีก็ต้องทำบัญชีชี้แจงอย่างชัดเจนและแน่นอนว่าหากโสเภณีส่งหลักฐานไม่ครบ,ไม่ยื่นภาษีจะด้วยความจงใจหรือไม่ก็ตาม สรรพากรไม่มีปัญญาตามตรวจสอบโสเภณีได้ทุกคน นั่นคือมีความเป็นไปได้ที่ผู้ทำอาชีพโสเภณีแบบไม่มีสังกัดจะหลบเลี่ยงภาษีสูงมาก


ทำให้ผลสุดท้ายรัฐก็ไม่สามารถเก็บภาษีตามจริงจากการขายบริการทางเพศของกลุ่มโสเภณีไม่มีสังกัดได้อยู่ดี


ที่น่าคิดคือผู้สนับสนุนการค้ากามถูกกฎหมายส่วนใหญ่แสดงความคิดเห็นออกแนวต้องการเป็น "โสเภณีแบบไม่มีสังกัด" มากกว่ามีสังกัดกันทั้งนั้น


แล้วแบบนี้ยังจะเชื่อลมปากผู้สนับสนุนการค้ากามที่อ้างว่า "หากอนุญาตให้การค้ากามถูกกฎหมายรัฐจะสามารถเก็บภาษีจากโสเภณีได้" อีกหรือ



 จากข่าวแม่ค้าคนหนึ่งออกมาโวยวายหลังนำร้านเข้าโครงการคนละครึ่งแล้วโดนเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง (ข้อเท็จจริงเป็นรายได้ปี 2563 ที่ต้องยื่นและเสียภาษีในปี 2564 ไม่ใช่การเก็บย้อนหลัง แม่ค้าคนนั้นมีรายได้จำนวนมากจนการคิดภาษีสูงเกือบแสนบาทแต่กลับไม่ยื่นภาษีเงินได้) หลังรู้ข่าวก็มีร้านค้าจำนวนมากแห่ยกเลิกการใช้จ่ายเงินผ่านโครงการคนละครึ่งทันทีเพราะกลัวจะโดนเรียกเก็บภาษีไปด้วย เรื่องนี้สะท้อนค่านิยมและทัศนคติของคนในสังคมได้ดีว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่ต้องการเปิดเผยรายได้จริงเพราะไม่อยากจ่ายภาษีให้กับรัฐ ผู้ขายตัวส่วนใหญ่ก็มีค่านิยมไม่แตกต่างจากแม่ค้าเหล่านี้


เมื่อพูดถึงการเก็บภาษีทำให้นึกถึงเรื่องการทำบัตรยืนยันตัวว่าเป็นผู้ประกอบอาชีพโสเภณีของเยอรมันที่ผู้เขียนเคยกล่าวถึงในหัวข้อที่ 7 การดูแลจากหน่วยงานรัฐ


ใบอนุญาตค้ากามมีไว้เพื่อให้รัฐตรวจสอบได้ว่าใครเป็นผู้ค้าบริการทางเพศและใครไม่ได้ค้า อย่างที่ผู้เขียนเคยเขียนไว้ในบทก่อนหน้า ขนาดใบขับขี่, บัตรประชาชน ยังถูกปลอมแปลงได้ หากมีการนำบัตรแสดงตัวเป็นผู้ขายบริการมาใช้ในประเทศนี้บัตรที่ว่าก็จะถูกนำมาปลอมแปลงได้เช่นกัน ซึ่งผู้ที่ปลอมแปลงอาจทำเพราะอยากขายตัวแต่ตนเองไม่มีคุณสมบัติตามที่รัฐกำหนด เช่น เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์, เป็นคนต่างด้าว, อายุต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด หรืออาจจะเป็นพวกแมงดา, สถานบริการ, ซ่อง ที่จงใจทำเอกสารปลอมเพื่อที่จะลักลอบนำเด็กหรือผู้หญิงที่ได้มาจากการค้ามนุษย์มาขายรวมกับโสเภณีที่มีบัตรอนุญาตถูกต้อง


แน่นอนว่ารัฐไม่มีทางเก็บภาษีจากผู้ใช้ใบอนุญาตปลอมได้เช่นกัน


เมื่อมีการปลอมใบอนุญาต ผู้ซื้อบริการทางเพศก็เสี่ยงที่จะทำผิดกฎหมาย เช่น ซื้อบริการทางเพศเด็กอายุต่ำกว่า 18 หรือซื้อคนที่อยู่ในกระบวนการค้ามนุษย์โดยไม่รู้ตัว


เมื่อมีการปลอมใบอนุญาต ผู้ที่ถือบัตรปลอมไม่มีทางไปตรวจโรคตามระเบียบที่หน่วยงานรัฐกำหนดและจะใช้วิธีปลอมใบตรวจโรคเพิ่มอีกใบเพื่อประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย ทำให้ผู้ซื้อบริการมีความเสี่ยงที่จะติดโรคมากขึ้นโดยที่ใบอนุญาตไม่ได้ช่วยอะไรเลย

 


รูปแสดง โสเภณีกำลังแสดงบัตรประจำตัว 


นอกจากนี้ยังมีผู้สนับสนุนการค้ากามที่เป็นผู้หญิงจำนวนมากแสดงความคิดเห็นในลักษณะ "ถ้ามีการเปิดให้ทำใบอนุญาตขายตัวได้ก็น่าไปทำเผื่อไว้ก่อน ตอนถูกเจ้าหน้าที่รัฐจับจะได้มาเล่นงานยัดข้อหาเราไม่ได้"


นี่คือทัศนคติที่บิดเบี้ยวเพราะใบอนุญาตขายตัวไม่ใช่ใบขับขี่ที่มีไว้ก็ดีกว่าไม่มี


หากผู้หญิงในสังคมจำนวนที่มากแสดงทัศนคติและมีค่านิยมว่าต้องการมีใบอนุญาตค้าบริการทางเพศ "สำรอง" ไว้ก่อน ผู้ชายในสังคมก็จะอนุมานเข้าข้างตัวเองไว้ก่อนว่าผู้หญิงที่ตนหมายตา "มีใบอนุญาตขาย" ด้วย ทำให้ความยับยั้งชั่งใจ, ความเกรงใจทางเพศต่อผู้หญิงก็จะลดลงและนำมาซึ่งการคุกคามทางเพศและคดีข่มขืนที่จะเกิดตามมามากขึ้น


และเมื่อมีคดีข่มขืน, คุกคามหรือการใช้ความรุนแรงเกิดขึ้น เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบว่าผู้หญิงที่เป็นเหยื่อได้มีการขึ้นทะเบียนเป็นผู้ขายบริการทางเพศไว้ เจ้าหน้าที่มักจะตัดประเด็นการข่มขืน, คุกคามทางเพศออกทันทีแล้วจะปัดไปเป็นคดีฉ้อโกงที่ผู้ขายและผู้ซื้อไม่สามารถตกลงราคาค่าใช้บริการกันได้


หากมีการปัดคดีข่มขืนให้กลายเป็นคดีฉ้อโกงบ่อยขึ้นก็จะทำให้สังคมเกิดความชาชิน หลังจากนั้นผู้ชายที่ควบคุมกำหนัดไม่ได้ก็จะใช้บัตรอนุญาตขายตัวเป็นข้ออ้างในการข่มขืนก่อน เมื่อเหยื่อแจ้งความเอาเรื่องค่อยอ้างว่า "มีบัตรก็ต้องขายสิ" "ไม่รู้...คิดว่าขาย" "ใครจะไปรู้ว่าไม่มีบัตร" หรือ "คิดว่ามีบัตรขายตัว" ฯลฯ นั่นทำให้ผู้หญิงที่มีบัตรแต่ไม่ต้องการขายบริการทางเพศหรือแม้แต่ผู้หญิงที่ไม่มีบัตรก็จะถูกเหมารวมว่า "ขาย" และมีความเสี่ยงที่จะถูกลวนลามและข่มขืนเพิ่มขึ้นจนไม่มีความปลอดภัยในชีวิตอีกต่อไป

 

ใบอนุญาตขายตัวสมัยก่อนซึ่งทำให้ฉุกคิดว่า ถึงมีการอนุญาตให้ขายตัวมานานแล้วแต่คุณภาพชีวิตของโสเภณีในประเทศที่ออกใบอนุญาตนั้นไม่ได้ดีขึ้นมาเลย


สำหรับผู้เขียน การขายตัวไม่นับว่าเป็นงานบริการเพราะไม่ได้ใช้ทักษะอาชีพจริงๆ อย่างที่เคยตั้งคำถามไปว่า "ทำไมเด็กสาวบริสุทธิ์จึงได้ค่าเปิดบริสุทธิ์แพงกว่าอีตัวที่ขายตัวมานาน" ต่างจาก "หมอนวดแผนไทยที่ยิ่งประสบการณ์เยอะมีทักษะค่าแรงยิ่งแพงคิวยิ่งยาว" 


การขายตัวคือ "การเช่าอวัยวะเพศ" ที่ผู้ซื้อจ่ายเงินเพื่อยืมอวัยวะเพศของผู้ขายระบายความใคร่ ดังนั้น สถานภาพของผู้ขายตัวก็ไม่ต่างจากวัวควายที่ถูกเช่าไว้ไถนาใช้แรงงานแลกกับค่าตอบแทน หรือแย่กว่านั้นคือไม่ต่างจาก "จิ๋มกระป๋อง" เลย


ผู้เขียนเขียนบทความชุดนี้ขึ้นมาเพื่อต้องการเตือนสติผู้หญิงที่ยังมีทางเลือกในชีวิตว่าอย่ารักสบาย อย่ามองการขายตัวเป็นอาชีพที่ควรเลือกเป็นอาชีพแรกๆ เพราะในระยะยาวไม่มีผู้หญิงที่สร้างเนื้อสร้างตัว มีความมั่นคง ภาคภูมิใจในชีวิตได้จากการเป็นโสเภณี ส่วนใหญ่เมื่อแก่ตัวก็ต้องอยู่อย่างอดอยาก ไม่มีเงินเก็บ ร่างกายทรุดโทรม ติดโรค ติดยาเสพติด มีปัญหาทางสุขภาพจิตที่เกิดจากการขายตัว


อย่าหลงลมปากของผู้ชายมักมากที่อ้างสิทธิเสรีภาพเพื่อผลักดันให้ผู้หญิงขายตัวกันเยอะๆ เพราะพวกเขาสนแต่ว่าอยากให้ในท้องตลาดมีผู้หญิงใหม่ๆ เต็มใจเข้ามาเป็น "สินค้า" ให้พวกเขาได้เลือกซื้อเลือกใช้ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเยอะๆ

 

ผู้ซื้อเหล่านั้นเป็นผู้ได้ผลประโยชน์โดยไม่ต้องเสียอะไรแต่ผู้หญิงที่ขายตัวมีสิ่งที่ต้องเสียมากมาย แม้จะไม่เห็นผลในระยะแรกแต่ในระยะยาวมีน้อยคนมากที่จะยังขายตัวอยู่ได้โดยที่สภาพร่างกายและจิตใจยังสมบูรณ์อยู่ ผลสุดท้ายเมื่อผู้ซื้อเห็นผู้หญิงที่พวกเขาซื้อไม่สวยไม่สดไม่ถูกใจพวกเขาอีกแล้ว พวกเขาพร้อมเสมอที่จะหันกลับมาด่าผู้หญิงเหล่านั้นว่า "กะหรี่"



ที่มาของรูปและอ้างอิง

https://www.abebooks.com/blog/2017/06/07/how-the-west-was-regulated-a-dodge-city-license-for-prostitution-in-1876

https://www.google.com/url?sa=i&url=https%3A%2F%2Fwww.shutterstock.com%2Feditorial%2Fimage-editorial%2Fprostitution-law-requires-registration-hamburg-germany-03-jan-2018-9306822e&psig=AOvVaw3pg-77RlSc2gT4KxFfsd0u&ust=1617436866484000&source=images&cd=vfe&ved=2ahUKEwjM9qCAjN_vAhXPgmMGHR5ND_MQjRx6BAgAEAc

https://www.freevector.com/income-tax-vector-art-24863#

https://www.prachachat.net/finance/news-596409

http://old-book.ru.ac.th/e-book/l/LW204(48)/lw204(48)-2.pdf

https://www.itax.in.th/pedia/เงินได้ประเภทที่-5/

https://www.baania.com/th/article/ภาษีค่าเช่าบ้าน-เรื่องต้องรู้ของคนปล่อยเช่า--5f0fbed3159c3b5792ffddc4


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น