เมื่อเกิดคดีคุกคามทางเพศหรือการข่มขืนหนึ่งในคำถามแรกๆ ที่เกิดขึ้นคือ "มือเท้าก็มีทำไมไม่ขัดขืน" ซึ่งคนในสังคมมักจะตีตราผู้เสียหายที่ไม่สามารถระบุสาเหตุชัดเจนว่าทำไมไม่ขัดขืนว่าจริงๆ แล้วในตอนนั้นพวกเขาสมยอมแต่เกิดเปลี่ยนใจเลยมาแจ้งความเอาผิดกับอีกฝ่าย ทำให้เหยื่อในคดีแบบนี้แทนที่จะได้รับความเห็นใจจึงมักกลายเป็นผู้ร้ายในสายตาคนส่วนใหญ่เสียเอง
คาดว่าตอนนี้คงมีน้อยคนที่ไม่รู้จัก #metoo แต่หากมีคนที่ยังไม่รู้จักก็ขอสรุปคร่าวๆ ว่า #metoo คือแฮชแท็กใน twitter ที่กลายเป็นกระแสหลังจากทรัมป์ผู้มีประวัติการคุกคามทางเพศ (และเจ้าตัวดูจะภูมิใจเสียด้วย) ได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีทำให้ผู้หญิงหลายๆ อาชีพโดยเฉพาะคนในวงการบันเทิงเริ่มแชร์ประสบการณ์การถูกคุกคามทางเพศรูปแบบต่างๆ กันผ่านแฮชแท็กนี้จากและเริ่มมีการดำเนินคดีกับผู้ที่ถูกกล่าวหาหลายคน แต่จุดที่น่าสนใจคือไม่นานมานี้นักแสดงชายอย่าง Terry Crew ก็ออกมาเปิดเผยประสบการณ์การถูกคุกคามทางเพศของตนพร้อมดำเนินคดีกับ Adam Venit และ William Morris ที่เคยจับอวัยวะเพศเขาต่อหน้าภรรยาในงานเลี้ยงด้วย
ตอนพิจารณาร่างกฎหมายคุ้มครองสิทธิของผู้ถูกคุกคามทางเพศ (Sexual Assault Survivors Bill of Rights) Terry Crew ได้บอกเล่าประสบการณ์การถูกคุกคามทางเพศต่อคณะกรรมการนิติบัญญัติเพื่อสนับสนุนร่าง (ในลิงก์ข่าวมีคลิป) ช่วงหนึ่งวุฒิสมาชิก Dianne Feinstein ได้ถาม Crew ว่า "คุณเองก็เป็นผู้ชายตัวโตแข็งแรงทำไมคุณไม่..." พร้อมทำท่าผลัก Crew ก็ได้ตอบว่า "ท่านวุฒิสมาชิกครับ ในฐานะชายผิวดำในอเมริกาคุณมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จและอยู่รอดในฐานะพลเมืองดีไม่มาก ผมมาจาก Flint รัฐ Michigan ผมเห็นหนุ่มผิวดำมากมายที่ถูกยั่วยุให้ใช้ความรุนแรงแล้วก็ต้องเข้าคุกไม่ก็ถูกฆ่า ไม่มีวันมาถึงที่นี่"
เขายังเล่าอีกว่าตอนงานเลี้ยงที่เกิดเหตุภรรยาเป็นผู้นำเขาออกจากงานและยังเป็นภรรยาของเขาอีกที่ช่วยฝึกไม่ให้เขาใช้ความรุนแรงเมื่อถูกยั่วยุและก่อนหน้านี้เขาเคยร้องทุกข์กล่าวโทษนาย Venit แต่ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า
จากสิ่งที่ Crew พูดคงพอจะช่วยตอบคำถามและสร้างความเข้าใจให้กับผู้ที่โทษเหยื่อ (Victim Blaming) ว่าทำไมในหลายกรณีเหยื่อถึงไม่ขัดขืน ในกรณีของ Crew ที่เป็นชายผิวดำหากขัดขืนเขาอาจถูกยัดข้อหาว่าเป็นพวกหัวรุนแรงและเสี่ยงที่จะตกงานจนสูญเสียทุกอย่างในกรณีของเหยื่อที่เป็นผู้หญิงก็คล้ายคลึงกัน การถูกล่วงละเมิดในที่ทำงานหรือสถานศึกษาแม้แต่ในบ้านโดยผู้ใกล้ชิดสถานะต่างๆ ไม่ว่าจะโดยครู เจ้านาย เพื่อนร่วมงาน เพื่อนร่วมคณะ เพื่อนบ้านหรือแม้กระทั่งญาติพี่น้องตัวเองมีหลายปัจจัยที่ทำให้เหยื่อไม่อาจขัดขืนได้แตกต่างกันตามวาระแต่จุดร่วมที่เหมือนกันคือความกลัวที่จะสูญเสียสถานะ กลัวเสียความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่มีอยู่กับผู้กระทำ และความกลัวที่มีต่อตัวผู้กระทำเองด้วยว่าผู้หญิงส่วนใหญ่ถูกปลูกฝังให้เป็นฝ่ายโอนอ่อนและไม่กล้าขัดใจคนอื่นโดยเฉพาะต่อเพศตรงข้ามที่มักมีรูปร่างใหญ่โตแข็งแรงกว่าเมื่อถึงคราวคับขันจึงมักไม่กล้าปฏิเสธหรือขัดขืนอย่างจริงจัง เมื่อเกิดเหตุแล้วเหยื่อส่วนใหญ่ไม่กล้าเอาผิดเพราะกลัวพูดไปจะไม่มีใครเชื่อหรือถูกซ้ำเติมหนักขึ้นไปอีกทำให้ผู้กระทำมักได้ใจแล้วกระทำซ้ำอีกเรื่อยๆ
เราพร่ำสอนแต่ผู้อ่อนแอให้ป้องกันตัวเองแต่เรากลับไม่สอนให้ผู้แข็งแกร่งรู้จักเคารพสิทธิของผู้อื่นตั้งแต่ต้นเราจึงได้สังคมแบบคนแข็งแกร่งรังแกคนอ่อนแออย่างทุกวันนี้ ผู้เขียนหวังว่าคงมีสักวันที่สังคมจะเลิกโทษเหยื่อไม่ว่าเพศไหนแล้วหันไปลงโทษผู้กระทำผิดอย่างจริงจัง
ปล. แต่จนถึงตอนนี้ผู้เขียนยังไม่ทราบว่า MRA (Men's Right Activism - องค์กรสิทธิบุรุษ) ได้เข้าไปให้การช่วยเหลือหรือออกเสียงสนับสนุน Crew หรือไม่ สำหรับผู้เขียนนี่เป็นโอกาสดีที่ทาง MRA จะได้สร้างกระแสให้สังคมได้รับรู้ว่าจริงๆ แล้วการคุกคามทางเพศก็สามารถเกิดขึ้นกับผู้ชายได้เหมือนกันและจะน่าเสียดายมากหาก MRA ละทิ้งโอกาสนี้ไป
อ้างอิงเนื้อหาและรูปจาก
- https://www.independent.co.uk/news/world/americas/terry-crews-sexual-assault-agent-evidence-us-senate-judiciary-committee-a8418581.html
- https://womenintheworld.com/2018/06/27/terry-crews-shares-his-metoo-story-before-congress-in-push-to-help-pass-sexual-assault-bill/
- https://www.telegraph.co.uk/news/2017/10/11/actor-terry-crews-says-sexually-assaulted-unnamed-executive/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น