บทความนี้คือความคิดเห็นส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
“เฟมินิสต์ทางเลือก” (Choice Feminism) คืออะไร? ต่างกับเฟมินิสต์สายอื่นตรงไหน?
บทความนี้จะใช้คำว่า “เฟมินิสต์” แทนคำว่า “สตรีนิยม” ที่เป็นคำแปลไทยโดยตรงของคำว่า “Feminism” เพื่อให้อ่านง่ายและกันความสับสน
ที่จริงคำว่า “เฟมินิสต์” (Feminist) คือ คนที่นิยมความคิดแนวเฟมินิสม์ ส่วน “เฟมินิสม์” (Feminism) คือ แนวคิดเชิงสตรีนิยมซึ่งเป็นนามธรรม เพื่อป้องกันความสับสนในบทความนี้จึงขอใช้คำว่า “เฟมินิสต์” ทั้งหมด
ที่จริงหัวข้อนี้มาจากบทสนทนาที่เคยคุยกับเพื่อนออนไลน์ชาวต่างชาติคนหนึ่งที่ไม่เข้าใจความหมายของ “เฟมินิสต์ทางเลือก” (Choice Feminism) ประกอบกับฉันสังเกตว่ายังมีหลายคนเข้าใจผิดคิดว่าเฟมินิสต์ที่เห็นตามสื่อฯ คือเฟมินิสต์เหมือนๆ กันหมดซึ่งพอมีเฟมินิสต์ให้ความเห็นขัดกันกับเฟมินิสต์คนอื่นก็จะรู้สึกขำว่า “พวกเฟมินิสต์นี่วันก่อนพูดอย่างวันนี้พูดอีกอย่างตกลงจะเอายังไงกันแน่” ฉันจึงเขียนบทความนี้ขึ้นมาเพื่อสรุปง่ายๆ ให้เข้าใจได้ว่าที่จริงแล้วเฟมินิสต์มีกี่ประเภทและ “เฟมินิสต์ทางเลือก” คืออะไร
เฟมินิสต์ (Feminism - แนวคิดสตรีนิยมที่เชื่อในเรื่องความเท่าเทียมกันระหว่างสตรีและบุรุษ) ในปัจจุบันแบ่งคร่าวๆ ออกเป็น 3 สายหลัก คือ เฟมินิสต์สายฐานราก (Radical feminism) , เฟมินิสต์สายเสรีนิยม (Liberal feminism) , และ เฟมินิสต์สายสังคมนิยม (Socialist (Marxist) feminism)
เฟมินิสต์สายฐานราก (Radical feminism) หรือรู้จักกันในชื่ออื่นว่า “สตรีนิยมหัวรุนแรง” หรือ “สตรีนิยมสายสุดโต่ง” คือแนวคิดที่เชื่อว่าระบอบปิตาธิปไตย (Patriachy - ระบบสังคมแบบชายเป็นใหญ่) คือรากฐานของการกดขี่ที่เพศหญิงต้องเผชิญทั้งหมด ทางเดียวที่จะสร้างความเท่าเทียมทางเพศได้คือต้องโค่นล้มระบอบปิตาธิปไตยเท่านั้น
เฟมินิสต์สายเสรีนิยม (Liberal feminism) คือแนวคิดที่เชื่อว่าผู้หญิงควรได้รับความเท่าเทียมกันกับผู้ชายในทุกด้าน ผ่านการปฏิรูป (Reform) ระบบที่มีอยู่โดยใช้กลไกทางกฎหมายและการเมืองเป็นหลัก
เฟมินิสต์สายสังคมนิยม (Socialist (Marxist) feminism) คือแนวคิดที่เชื่อว่าระบอบปิตาธิปไตยและระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม (Capitalism) มีส่วนร่วมกันในการกดขี่ผู้หญิงเพราะความยากจนทำให้ผู้หญิงไม่อาจเป็นอิสระจากระบอบปิตาธิปไตยได้ การจะปลดปล่อยผู้หญิงให้เป็นอิสระอย่างแท้จริงต้องเปลี่ยนแปลงทั้งโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมไปพร้อมกัน
“เฟมินิสต์ทางเลือก” (Choice Feminism) คือ แนวคิดที่แตกแขนงมาจากเฟมินิสต์สายเสรีนิยม (Liberal feminism) เป็นแนวคิดที่เชื่อว่าทุกทางเลือกส่วนบุคคลที่ผู้หญิงเลือกล้วนเป็นสิ่งที่ถูกต้องและถือเป็นการปลดแอกตัวเองให้เป็นอิสระจากกรอบทางสังคมตราบใดที่เจ้าตัวเป็นผู้ตัดสินใจ “เลือก” เอง
แนวคิดนี้ดูผิวเผินเหมือนจะส่งเสริมพลังของผู้หญิง (Female Empowerment) ผ่านการสนับสนุนให้ผู้หญิงกล้าเลือกสิ่งต่างๆ ในชีวิตของตนเองโดยไม่ต้องสนใจอิทธิพลจากปัจจัยรอบข้าง แต่น่าเสียดายที่ไม่ใช่ทุกสิ่งที่ผู้หญิงเลือกจะเป็นสิ่งดีๆ ที่จะส่งเสริมคุณค่าหรือเป็นผลดีต่อทั้งร่างกายและจิตใจของตนเสมอไป การเหมารวมว่า “ทุกทางเลือกที่ผู้หญิงเลือกคือการส่งเสริมพลังของผู้หญิง” จึงนับเป็นเรื่องที่ชวนให้เกิดความเข้าใจผิดและเป็นอันตรายต่อผู้ที่ยังขาดประสบการณ์ชีวิต
ตัวอย่างเช่น การที่ผู้หญิงหลายคน “เลือก” ที่จะเป็นแม่บ้านเต็มเวลา (Stay-at-home mother) หลังแต่งงานหรือมีลูกเพราะคิดว่าการเลือกแต่งงานกับสามีที่มีฐานะมั่นคงก็ทำให้ตนสุขสบายมากพอจนไม่จำเป็นต้องทำงานอีก ดูผิวเผินทางเลือกนี้อาจเป็นทางเลือกที่สมเหตุผลสำหรับผู้หญิงที่มีสามีรวย แต่การเป็นแม่บ้านเต็มเวลาหมายถึงการไม่ได้ทำงานมีรายได้เป็นของตัวเอง ต้องอยู่ในสภาพเปราะบางต้องพึ่งพาสามีอย่างเดียวและไม่มีอิสระทางการเงิน
ซึ่งหากในอนาคตเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องเลิกรากัน เช่น สามีนอกใจ สามีทำร้ายร่างกายและจิตใจ ฯลฯ การแยกตัวออกมาก็จะลำบากมากขึ้นหรือเป็นไปไม่ได้หากผู้หญิงคนนั้นไม่มีรายได้ ไม่มีเงินเก็บ หรือไม่มีเครือข่ายที่พร้อมให้การสนับสนุนอย่างเช่น ครอบครัวหรือเพื่อนที่จะให้ที่พักพิง การเป็นแม่บ้านเต็มเวลาจึงเปรียบได้กับการใช้ชีวิตของตนเป็นเบี้ยเดิมพันกับความกรุณาของฝ่ายชายเพียงอย่างเดียวโดยไม่มีหลักประกันอะไรว่าเขาจะไม่เปลี่ยน ทางเลือกนี้จึงไม่ใช่ทางเลือกที่ส่งเสริมพลังของผู้หญิง
หรือการที่ผู้หญิงหลายคน “เลือก” ที่จะขายตัวหรือถ่ายหนังโป๊เป็น Sex creator เฟมินิสต์สายเสรีนิยมเชื่อว่า “My body, my choice.” ผู้หญิงย่อมมีสิทธิ์ในร่างกายตน ในเมื่อร่างกายเป็นของผู้หญิงฉะนั้นผู้หญิงจะตัดสินใจทำอย่างไรกับร่างกายก็ย่อมได้รวมถึงการนำร่างกายไปขายหรือเปิดเผยให้ใครๆ ได้เชยชม เฟมินิสต์สายเสรีนิยมมักมีแนวคิดว่าการหาเงินจากธุรกิจทางเพศคือการแสดงออกถึงความมีอิสระทางเพศ คือการปลดแอกการกดขี่ทางเพศจากระบอบปิตาธิปไตยที่จำกัดให้ผู้หญิงต้องมีเพศสัมพันธ์ได้เฉพาะกับคู่ครอง การขายตัวหรือถ่ายหนังโป๊ทำให้ผู้หญิงได้สัมผัสความสุขทางเพศโดยไม่มีขีดจำกัดและได้รับอิสระทางการเงินควบคู่ไปด้วย
ดูผิวเผินทางเลือกนี้เหมือนจะสมเหตุผลสำหรับผู้หญิงที่รู้สึกอึดอัดกับความไม่เท่าเทียมทางเพศในทางทฤษฎี แต่น่าเสียดายที่ในทางปฏิบัติ การลดคุณค่าของตนให้เหลือเป็นแค่วัตถุทางเพศเช่นนี้คือการทำลายสถานะสังคมของตนทิ้งและเป็นการตัดโอกาสอื่นๆ ที่จะมีเข้ามาอีกในอนาคต (กรณีนี้พูดถึงแต่ผู้หญิงที่จงใจ “เลือก” ไม่เกี่ยวกับผู้หญิงที่ไม่มีทางเลือกหรือถูกบังคับ)
ตั้งแต่จุดเริ่มต้นตราบจนถึงจุดสิ้นสุดของสังคมมนุษย์ คนในสังคมโดยเฉพาะผู้ชายที่สนับสนุนให้ผู้หญิงขายตัวหรือถ่ายหนังโป๊จะไม่มีวันให้เกียรติหรือยกย่องผู้หญิงที่อยู่วงการนี้ว่าเป็นมนุษย์ ยิ่งผู้หญิงที่จงใจ “เลือก” ที่จะเข้ามาทำงานแบบนี้ผู้ชายส่วนใหญ่ก็ยิ่งรังเกียจ แม้แต่ในประเทศที่การค้ากามหรือธุรกิจสื่อลามกถูกกฎหมายผู้ชายในประเทศเหล่านั้นก็ไม่ได้มองผู้หญิงที่อยู่วงการนี้ดีขึ้นแต่กลับเหมารวมว่าผู้หญิงทุกคนรวมถึงคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับวงการนี้คือวัตถุทางเพศไปด้วย
หากทางเลือกนี้เป็นทางเลือกที่ “ส่งเสริมพลัง” ของผู้ที่เลือกได้จริง ทำไมผู้ชายส่วนใหญ่จึงไม่สนับสนุนให้คนในครอบครัวหรือผู้ชายด้วยกันทำหรือแม้แต่ตัดสินใจที่จะทำเองเหมือนที่พยายามผลักดันให้ผู้หญิงทำ? และถ้าผู้ชายมีความคิดเปิดกว้างยอมรับผู้หญิงที่หาเงินจากธุรกิจทางเพศมากขึ้นแล้วจริง ทำไมผู้ชายส่วนใหญ่ถึงยังปฏิเสธที่จะแต่งงานกับผู้หญิงที่เคยขายตัวหรือถ่ายหนังโป๊?
ผู้หญิงที่ “เลือก” ทางนี้ส่วนใหญ่นอกจากต้องเสี่ยงกับการถูกลูกค้าทำร้ายร่างกายหรือถูกฆ่าแล้วยังต้องเสี่ยงกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคทางจิตเวชแถมยังต้องพบกับประสบการณ์เลวร้ายต่างๆ ที่จะตามมาเพื่อแลกกับเงิน ผู้หญิงที่ถ่ายหนังโป๊อาจไม่ต้องพบกับลูกค้าโดยตรงแต่ก็ยังเสี่ยงกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือถูกคนรู้จักจับได้ให้เป็นที่อับอาย และแน่นอนที่สุดคือหากเรื่องที่ตนเคยขายตัวหรือถ่ายหนังโป๊ถูกแพร่ออกไปจะทำให้ชีวิตอยู่ยากขึ้นและจะถูกตีตราว่าเคยขายตัวหรือถ่ายหนังโป๊ไปตลอดชีวิตแม้กระทั่งตอนแต่งงานและมีลูกไปแล้ว ทางเลือกนี้จึงเป็นอันตรายต่อผู้หญิงมากกว่าจะนับเป็นการส่งเสริมพลังของผู้หญิง
หรือการ “เลือก” ที่จะมีเพศสัมพันธ์แบบ BDSM หรือการเข้าร่วมกิจกรรม Fetish หรือ Kink ที่เป็นอันตรายต่อตัวผู้หญิงเอง ตั้งแต่กิจกรรมที่คนเห็นเป็นเรื่องทั่วไปอย่างการร่วมเพศทางทวารหนัก การร่วมเพศหมู่ การทำร้ายร่างกายหรือการกินของเสีย จนไปถึงการบีบคอให้ขาดอากาศและการกดน้ำ
จริงอยู่ว่าอาจมีผู้หญิงบางส่วนเข้าร่วมเพราะตนเองมีรสนิยมแบบนั้น แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามีผู้หญิงหลายคนที่เข้าร่วมเพียงเพราะต้องการทำให้ผู้ชายพอใจหรือต้องการได้รับการยอมรับว่าเป็น “ผู้หญิงหัวก้าวหน้า” ไม่ใช่ “ผู้หญิงหัวโบราณ” ที่น่าเบื่อทั้งที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากิจกรรมเหล่านั้นอันตรายต่อร่างกายและจิตใจตนทั้งในระยะสั้นหรือระยะยาวแค่ไหน ซึ่งบางครั้งผู้หญิงที่เข้าร่วมอาจบาดเจ็บ พิการจนกลับมาใช้ชีวิตเป็นปกติไม่ได้ หรือถึงตายไปเลยก็มี
ไม่แปลกหากจะพูดว่าผู้ชายที่ส่งเสริมให้ผู้หญิงเข้าร่วมร่วมกิจกรรมที่เป็นอันตรายต่อตัวผู้หญิงเช่นนี้จะมองผู้หญิงเป็นแค่วัตถุทางเพศและเห็นคุณค่าของชีวิตผู้หญิงด้อยกว่าการสำเร็จความใคร่ของผู้ชาย
การมีเพศสัมพันธ์ในรูปแบบที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตจึงไม่ใช่ทางเลือกที่ “ส่งเสริมพลังของผู้หญิง” และไม่ควรสนับสนุนให้ผู้หญิงโดยทั่วไปเห็นว่าดีและสมควรทำตามด้วยประการทั้งปวง ในต่างประเทศมีข่าวผู้ที่ตายจาก “ความผิดพลาดระหว่างการมีเพศสัมพันธ์” (Sex game gone wrong) เกิดขึ้นเป็นระยะและแน่นอนว่าผู้ที่ตายเกือบทั้งหมดเป็นผู้หญิงโดยที่มีผู้กระทำเป็นผู้ชาย (ใช้คำว่า “เกือบ” แต่ส่วนตัวฉันไม่เคยเห็นเหยื่อของกรณีแบบนี้ที่เป็นผู้ชายถูกกระทำโดยผู้หญิง) ซึ่งแน่นอนว่ายากจะพิสูจน์ได้ว่านั่นคือการตายอุบัติเหตุที่เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ด้วยความเต็มใจของทั้ง 2 ฝ่ายจริง หรือเกิดจากการข่มขืนหรือฆาตกรรมอำพรางด้วยสาเหตุอื่นแล้วอ้างเซ็กซ์บังหน้า
อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้คาดว่าผู้อ่านคงพอเข้าใจโดยสังเขปแล้วว่าที่จริง “เฟมินิสต์ทางเลือก” (Choice Feminism) นั้นไม่ได้ส่งเสริมพลังของผู้หญิงอย่างแท้จริง ในทางตรงข้ามมันคือยาพิษจากแนวคิดเหยียดเพศหญิงที่วิวัฒนาการตามยุคสมัยหลังจากผู้หญิงได้รับสิทธิ์ทางสังคมมากขึ้น ในเมื่อผู้หญิงเริ่มฉลาดจนไม่สามารถปลูกฝังค่านิยมเหยียดเพศแบบตรงๆ ได้แล้วคนที่มีค่านิยมเหยียดเพศเหล่านี้ก็ได้ใช้วิธีแทรกตัวเข้ามายืมรูปแบบภาษาของเฟมินิสต์ เคลือบเปลือกนอกของสิ่งที่กดขี่ด้อยค่าผู้หญิงด้วยคำที่สวยหรูอย่าง “ปลดแอก” หรือ “ส่งเสริมพลังของผู้หญิง” เพื่อล่อลวงผู้หญิงที่ยังขาดประสบการณ์ชีวิตให้ตกเป็นเหยื่อและยอมทำตามสิ่งที่ระบอบปิตาธิปไตยต้องการ
ลองคิดดูง่ายๆ ว่าตั้งแต่โบราณในยุคที่ผู้หญิงยังไม่มีสิทธิ์มีเสียงและต้องพึ่งพาผู้ชายอย่างเดียว สังคมพยายามปลูกฝังมาตลอดให้ผู้หญิงทำตัว “สมหญิง” เป็นแม่บ้านดูแลสามีและลูก ส่วนผู้ชายในสังคมบางส่วนก็สามารถทำได้ทุกอย่างไม่ว่าจะทั้งข่มขู่ ใช้กำลัง หลอกลวง ใช้เงินล่อ ฯลฯ เพื่อใช้ประโยชน์ทางเพศจากผู้หญิง พอเฟมินิสต์ยุคก่อนต่อสู้เพื่อให้ได้ผู้หญิงสิทธิ์ในการทำงานนอกบ้านสามารถพึ่งพาตัวเองจนเริ่มมีสถานะทางสังคมเทียบเท่าผู้ชายได้แล้วทำไมจู่ๆ กลับมี “เฟมินิสต์” อีกกลุ่มลุกขึ้นมาผลักดันให้การทำตัว “สมหญิง” เป็นแม่บ้านแม่เรือน หรือการขายตัวถ่ายหนังโป๊ให้ผู้ชายซื้อขายกลับกลายเป็นเรื่องที่ “ส่งเสริมพลังของผู้หญิง” ? ทำไมสิ่งสุดท้ายที่ผู้หญิงยุคก่อนต้องการ (การเป็นแม่บ้านที่ต้องพึ่งพาสามีอย่างเดียวหรือการขายตัว) กลับกลายเป็นสิ่งที่แสดงถึงความมีอิสระในการเลือกเส้นทางชีวิตและการมีเสรีภาพทางเพศในยุคนี้?
ตามที่ฉันกล่าวไว้แล้วข้างต้น เฟมินิสต์สายเสรีนิยมคือสายที่หาทางอยู่ร่วมกับระบอบปิตาธิปไตยโดยไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างหรือรากฐานของระบบ สำหรับเฟมินิสต์สายนี้การเป็นแม่บ้านที่พึ่งพาสามีหรือการหาเงินจากธุรกิจทางเพศนับเป็นการหาประโยชน์และอยู่ร่วมกับระบอบปิตาธิปไตยตามระบบที่มีอยู่แล้วแม้ว่านั่นหมายถึงสถานะทางของผู้หญิงจะยังถูกกดให้เป็นแค่ “คนใช้” หรือ “วัตถุทางเพศ” ไม่ต่างจากสมัยก่อน เฟมินิสต์สายนี้สนับสนุนการมีอยู่ของระบอบปิตาธิปไตยตราบใดที่ผู้หญิงบางส่วนยังหาประโยชน์จากมันได้
จึงไม่ต้องแปลกใจที่ทำไมเฟมินิสต์สายเสรีนิยมจึงถูกเรียกว่าเป็น “เฟมินิสต์สายหลัก” (Mainstream feminism) และเป็นเฟมินิสต์สายที่ผู้ชายส่วนใหญ่ถึงจะไม่สนับสนุนแต่ก็ไม่คัดค้านการมีอยู่ ต่างจากเฟมินิสต์สายฐานรากหรือสายสังคมนิยมที่มักจะถูกต่อต้าน ก่อกวน กีดขวาง หรือกำจัดจนไม่มีแทบที่ยืนในสังคม
ฉันเคยคิดว่า ถ้าทุกวันนี้ยังมีการค้าทาสอยู่แล้วมีใครสักคนลุกขึ้นมาเคลื่อนไหวเพื่อให้ยกเลิก จะต้องมีพวกเสรีนิยมลุกขึ้นมาต่อต้านคนที่อยากยกเลิกการค้าทาสแน่ๆ โดยเขาจะให้เหตุผลว่า “มีคนที่สมัครใจยอมขายตัวเองเป็นทาสอยู่ การยกเลิกการค้าทาสจึงเป็นการลิดรอนสิทธิ์ในการเลือกทางเดินในชีวิตซึ่งเท่ากับเป็นการละเมิดสิทธิ์มนุษยชนของคนที่อยากเป็นทาส”
ปัจจุบันทุกอย่างเปลี่ยนแปลงเร็วมาก ข้อมูลข่าวสารก็มีมากมายจนยากจะแยกแยะว่าอันไหนจริงอันไหนหลอกลวง การเสพสื่อจึงต้องทำด้วยความรอบคอบและระมัดระวังมากขึ้น ก่อนจะตัดสินใจเชื่ออะไรขอให้พิจารณารอบด้านและทบทวนอย่างถ้วนถี่ มองเจตนาของผู้ผลิตสื่อให้ออกว่าเขาต้องการอะไร? หวังดีกับผู้ที่เสพสื่อจริงหรือมีวาระซ่อนเร้น? ในยุคนี้ผู้ที่หวังดีประสงค์ร้ายมาในคราบนักบุญนั้นมีอยู่มาก และถึงบางคนหรือบางสื่อจะเรียกตัวเองว่า “เฟมินิสต์” แต่ไม่ใช่ว่าทุกคำพูดหรือความคิดที่เขาแสดงออกจะเป็นการส่งเสริมสิทธิ์และบทบาทของผู้หญิง
แม้แต่บทความที่ผู้อ่านกำลังอ่านอยู่นี้ฉันก็ขอให้อ่านแล้วอย่าเพิ่งเชื่อทั้งหมด ลองหาข้อมูลเพิ่มด้วยตนเอง สังเกตสถานการณ์รอบข้างแล้วค่อยตกผลึกจากความรู้และประสบการณ์ของตน ไตร่ตรองก่อนให้คำตอบกับตัวเองว่าควรจะเชื่อหรือไม่และนิยามของ “เฟมินิสต์” ในความคิดของตนควรเป็นอย่างไร