วันพุธที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2568

“เฟมินิสต์ทางเลือก” (Choice Feminism) คืออะไร?

 บทความนี้คือความคิดเห็นส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน


“เฟมินิสต์ทางเลือก” (Choice Feminism) คืออะไร? ต่างกับเฟมินิสต์สายอื่นตรงไหน?


บทความนี้จะใช้คำว่า “เฟมินิสต์” แทนคำว่า “สตรีนิยม” ที่เป็นคำแปลไทยโดยตรงของคำว่า “Feminism” เพื่อให้อ่านง่ายและกันความสับสน


ที่จริงคำว่า “เฟมินิสต์” (Feminist) คือ คนที่นิยมความคิดแนวเฟมินิสม์ ส่วน “เฟมินิสม์” (Feminism) คือ แนวคิดเชิงสตรีนิยมซึ่งเป็นนามธรรม เพื่อป้องกันความสับสนในบทความนี้จึงขอใช้คำว่า “เฟมินิสต์” ทั้งหมด



ที่จริงหัวข้อนี้มาจากบทสนทนาที่เคยคุยกับเพื่อนออนไลน์ชาวต่างชาติคนหนึ่งที่ไม่เข้าใจความหมายของ “เฟมินิสต์ทางเลือก” (Choice Feminism) ประกอบกับฉันสังเกตว่ายังมีหลายคนเข้าใจผิดคิดว่าเฟมินิสต์ที่เห็นตามสื่อฯ คือเฟมินิสต์เหมือนๆ กันหมดซึ่งพอมีเฟมินิสต์ให้ความเห็นขัดกันกับเฟมินิสต์คนอื่นก็จะรู้สึกขำว่า “พวกเฟมินิสต์นี่วันก่อนพูดอย่างวันนี้พูดอีกอย่างตกลงจะเอายังไงกันแน่” ฉันจึงเขียนบทความนี้ขึ้นมาเพื่อสรุปง่ายๆ ให้เข้าใจได้ว่าที่จริงแล้วเฟมินิสต์มีกี่ประเภทและ “เฟมินิสต์ทางเลือก” คืออะไร


เฟมินิสต์ (Feminism - แนวคิดสตรีนิยมที่เชื่อในเรื่องความเท่าเทียมกันระหว่างสตรีและบุรุษ) ในปัจจุบันแบ่งคร่าวๆ ออกเป็น 3 สายหลัก คือ เฟมินิสต์สายฐานราก (Radical feminism) , เฟมินิสต์สายเสรีนิยม (Liberal feminism) , และ เฟมินิสต์สายสังคมนิยม (Socialist (Marxist) feminism)



เฟมินิสต์สายฐานราก (Radical feminism) หรือรู้จักกันในชื่ออื่นว่า “สตรีนิยมหัวรุนแรง” หรือ “สตรีนิยมสายสุดโต่ง” คือแนวคิดที่เชื่อว่าระบอบปิตาธิปไตย (Patriachy - ระบบสังคมแบบชายเป็นใหญ่) คือรากฐานของการกดขี่ที่เพศหญิงต้องเผชิญทั้งหมด ทางเดียวที่จะสร้างความเท่าเทียมทางเพศได้คือต้องโค่นล้มระบอบปิตาธิปไตยเท่านั้น


เฟมินิสต์สายเสรีนิยม (Liberal feminism) คือแนวคิดที่เชื่อว่าผู้หญิงควรได้รับความเท่าเทียมกันกับผู้ชายในทุกด้าน ผ่านการปฏิรูป (Reform) ระบบที่มีอยู่โดยใช้กลไกทางกฎหมายและการเมืองเป็นหลัก



เฟมินิสต์สายสังคมนิยม (Socialist (Marxist) feminism) คือแนวคิดที่เชื่อว่าระบอบปิตาธิปไตยและระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม (Capitalism) มีส่วนร่วมกันในการกดขี่ผู้หญิงเพราะความยากจนทำให้ผู้หญิงไม่อาจเป็นอิสระจากระบอบปิตาธิปไตยได้ การจะปลดปล่อยผู้หญิงให้เป็นอิสระอย่างแท้จริงต้องเปลี่ยนแปลงทั้งโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมไปพร้อมกัน


“เฟมินิสต์ทางเลือก” (Choice Feminism) คือ แนวคิดที่แตกแขนงมาจากเฟมินิสต์สายเสรีนิยม (Liberal feminism) เป็นแนวคิดที่เชื่อว่าทุกทางเลือกส่วนบุคคลที่ผู้หญิงเลือกล้วนเป็นสิ่งที่ถูกต้องและถือเป็นการปลดแอกตัวเองให้เป็นอิสระจากกรอบทางสังคมตราบใดที่เจ้าตัวเป็นผู้ตัดสินใจ “เลือก” เอง


แนวคิดนี้ดูผิวเผินเหมือนจะส่งเสริมพลังของผู้หญิง (Female Empowerment) ผ่านการสนับสนุนให้ผู้หญิงกล้าเลือกสิ่งต่างๆ ในชีวิตของตนเองโดยไม่ต้องสนใจอิทธิพลจากปัจจัยรอบข้าง แต่น่าเสียดายที่ไม่ใช่ทุกสิ่งที่ผู้หญิงเลือกจะเป็นสิ่งดีๆ ที่จะส่งเสริมคุณค่าหรือเป็นผลดีต่อทั้งร่างกายและจิตใจของตนเสมอไป การเหมารวมว่า “ทุกทางเลือกที่ผู้หญิงเลือกคือการส่งเสริมพลังของผู้หญิง” จึงนับเป็นเรื่องที่ชวนให้เกิดความเข้าใจผิดและเป็นอันตรายต่อผู้ที่ยังขาดประสบการณ์ชีวิต


ตัวอย่างเช่น การที่ผู้หญิงหลายคน “เลือก” ที่จะเป็นแม่บ้านเต็มเวลา (Stay-at-home mother) หลังแต่งงานหรือมีลูกเพราะคิดว่าการเลือกแต่งงานกับสามีที่มีฐานะมั่นคงก็ทำให้ตนสุขสบายมากพอจนไม่จำเป็นต้องทำงานอีก ดูผิวเผินทางเลือกนี้อาจเป็นทางเลือกที่สมเหตุผลสำหรับผู้หญิงที่มีสามีรวย แต่การเป็นแม่บ้านเต็มเวลาหมายถึงการไม่ได้ทำงานมีรายได้เป็นของตัวเอง ต้องอยู่ในสภาพเปราะบางต้องพึ่งพาสามีอย่างเดียวและไม่มีอิสระทางการเงิน


ซึ่งหากในอนาคตเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องเลิกรากัน เช่น สามีนอกใจ สามีทำร้ายร่างกายและจิตใจ ฯลฯ การแยกตัวออกมาก็จะลำบากมากขึ้นหรือเป็นไปไม่ได้หากผู้หญิงคนนั้นไม่มีรายได้ ไม่มีเงินเก็บ หรือไม่มีเครือข่ายที่พร้อมให้การสนับสนุนอย่างเช่น ครอบครัวหรือเพื่อนที่จะให้ที่พักพิง การเป็นแม่บ้านเต็มเวลาจึงเปรียบได้กับการใช้ชีวิตของตนเป็นเบี้ยเดิมพันกับความกรุณาของฝ่ายชายเพียงอย่างเดียวโดยไม่มีหลักประกันอะไรว่าเขาจะไม่เปลี่ยน ทางเลือกนี้จึงไม่ใช่ทางเลือกที่ส่งเสริมพลังของผู้หญิง


หรือการที่ผู้หญิงหลายคน “เลือก” ที่จะขายตัวหรือถ่ายหนังโป๊เป็น Sex creator เฟมินิสต์สายเสรีนิยมเชื่อว่า “My body, my choice.” ผู้หญิงย่อมมีสิทธิ์ในร่างกายตน ในเมื่อร่างกายเป็นของผู้หญิงฉะนั้นผู้หญิงจะตัดสินใจทำอย่างไรกับร่างกายก็ย่อมได้รวมถึงการนำร่างกายไปขายหรือเปิดเผยให้ใครๆ ได้เชยชม เฟมินิสต์สายเสรีนิยมมักมีแนวคิดว่าการหาเงินจากธุรกิจทางเพศคือการแสดงออกถึงความมีอิสระทางเพศ คือการปลดแอกการกดขี่ทางเพศจากระบอบปิตาธิปไตยที่จำกัดให้ผู้หญิงต้องมีเพศสัมพันธ์ได้เฉพาะกับคู่ครอง การขายตัวหรือถ่ายหนังโป๊ทำให้ผู้หญิงได้สัมผัสความสุขทางเพศโดยไม่มีขีดจำกัดและได้รับอิสระทางการเงินควบคู่ไปด้วย


ดูผิวเผินทางเลือกนี้เหมือนจะสมเหตุผลสำหรับผู้หญิงที่รู้สึกอึดอัดกับความไม่เท่าเทียมทางเพศในทางทฤษฎี แต่น่าเสียดายที่ในทางปฏิบัติ การลดคุณค่าของตนให้เหลือเป็นแค่วัตถุทางเพศเช่นนี้คือการทำลายสถานะสังคมของตนทิ้งและเป็นการตัดโอกาสอื่นๆ ที่จะมีเข้ามาอีกในอนาคต (กรณีนี้พูดถึงแต่ผู้หญิงที่จงใจ “เลือก” ไม่เกี่ยวกับผู้หญิงที่ไม่มีทางเลือกหรือถูกบังคับ)


ตั้งแต่จุดเริ่มต้นตราบจนถึงจุดสิ้นสุดของสังคมมนุษย์ คนในสังคมโดยเฉพาะผู้ชายที่สนับสนุนให้ผู้หญิงขายตัวหรือถ่ายหนังโป๊จะไม่มีวันให้เกียรติหรือยกย่องผู้หญิงที่อยู่วงการนี้ว่าเป็นมนุษย์ ยิ่งผู้หญิงที่จงใจ “เลือก” ที่จะเข้ามาทำงานแบบนี้ผู้ชายส่วนใหญ่ก็ยิ่งรังเกียจ แม้แต่ในประเทศที่การค้ากามหรือธุรกิจสื่อลามกถูกกฎหมายผู้ชายในประเทศเหล่านั้นก็ไม่ได้มองผู้หญิงที่อยู่วงการนี้ดีขึ้นแต่กลับเหมารวมว่าผู้หญิงทุกคนรวมถึงคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับวงการนี้คือวัตถุทางเพศไปด้วย


หากทางเลือกนี้เป็นทางเลือกที่ “ส่งเสริมพลัง” ของผู้ที่เลือกได้จริง ทำไมผู้ชายส่วนใหญ่จึงไม่สนับสนุนให้คนในครอบครัวหรือผู้ชายด้วยกันทำหรือแม้แต่ตัดสินใจที่จะทำเองเหมือนที่พยายามผลักดันให้ผู้หญิงทำ? และถ้าผู้ชายมีความคิดเปิดกว้างยอมรับผู้หญิงที่หาเงินจากธุรกิจทางเพศมากขึ้นแล้วจริง ทำไมผู้ชายส่วนใหญ่ถึงยังปฏิเสธที่จะแต่งงานกับผู้หญิงที่เคยขายตัวหรือถ่ายหนังโป๊?



ผู้หญิงที่ “เลือก” ทางนี้ส่วนใหญ่นอกจากต้องเสี่ยงกับการถูกลูกค้าทำร้ายร่างกายหรือถูกฆ่าแล้วยังต้องเสี่ยงกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคทางจิตเวชแถมยังต้องพบกับประสบการณ์เลวร้ายต่างๆ ที่จะตามมาเพื่อแลกกับเงิน ผู้หญิงที่ถ่ายหนังโป๊อาจไม่ต้องพบกับลูกค้าโดยตรงแต่ก็ยังเสี่ยงกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือถูกคนรู้จักจับได้ให้เป็นที่อับอาย และแน่นอนที่สุดคือหากเรื่องที่ตนเคยขายตัวหรือถ่ายหนังโป๊ถูกแพร่ออกไปจะทำให้ชีวิตอยู่ยากขึ้นและจะถูกตีตราว่าเคยขายตัวหรือถ่ายหนังโป๊ไปตลอดชีวิตแม้กระทั่งตอนแต่งงานและมีลูกไปแล้ว ทางเลือกนี้จึงเป็นอันตรายต่อผู้หญิงมากกว่าจะนับเป็นการส่งเสริมพลังของผู้หญิง


หรือการ “เลือก” ที่จะมีเพศสัมพันธ์แบบ BDSM หรือการเข้าร่วมกิจกรรม Fetish หรือ Kink ที่เป็นอันตรายต่อตัวผู้หญิงเอง ตั้งแต่กิจกรรมที่คนเห็นเป็นเรื่องทั่วไปอย่างการร่วมเพศทางทวารหนัก การร่วมเพศหมู่ การทำร้ายร่างกายหรือการกินของเสีย จนไปถึงการบีบคอให้ขาดอากาศและการกดน้ำ


จริงอยู่ว่าอาจมีผู้หญิงบางส่วนเข้าร่วมเพราะตนเองมีรสนิยมแบบนั้น แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามีผู้หญิงหลายคนที่เข้าร่วมเพียงเพราะต้องการทำให้ผู้ชายพอใจหรือต้องการได้รับการยอมรับว่าเป็น “ผู้หญิงหัวก้าวหน้า” ไม่ใช่ “ผู้หญิงหัวโบราณ” ที่น่าเบื่อทั้งที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากิจกรรมเหล่านั้นอันตรายต่อร่างกายและจิตใจตนทั้งในระยะสั้นหรือระยะยาวแค่ไหน ซึ่งบางครั้งผู้หญิงที่เข้าร่วมอาจบาดเจ็บ พิการจนกลับมาใช้ชีวิตเป็นปกติไม่ได้ หรือถึงตายไปเลยก็มี


ไม่แปลกหากจะพูดว่าผู้ชายที่ส่งเสริมให้ผู้หญิงเข้าร่วมร่วมกิจกรรมที่เป็นอันตรายต่อตัวผู้หญิงเช่นนี้จะมองผู้หญิงเป็นแค่วัตถุทางเพศและเห็นคุณค่าของชีวิตผู้หญิงด้อยกว่าการสำเร็จความใคร่ของผู้ชาย


การมีเพศสัมพันธ์ในรูปแบบที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตจึงไม่ใช่ทางเลือกที่ “ส่งเสริมพลังของผู้หญิง” และไม่ควรสนับสนุนให้ผู้หญิงโดยทั่วไปเห็นว่าดีและสมควรทำตามด้วยประการทั้งปวง ในต่างประเทศมีข่าวผู้ที่ตายจาก “ความผิดพลาดระหว่างการมีเพศสัมพันธ์” (Sex game gone wrong) เกิดขึ้นเป็นระยะและแน่นอนว่าผู้ที่ตายเกือบทั้งหมดเป็นผู้หญิงโดยที่มีผู้กระทำเป็นผู้ชาย (ใช้คำว่า “เกือบ” แต่ส่วนตัวฉันไม่เคยเห็นเหยื่อของกรณีแบบนี้ที่เป็นผู้ชายถูกกระทำโดยผู้หญิง) ซึ่งแน่นอนว่ายากจะพิสูจน์ได้ว่านั่นคือการตายอุบัติเหตุที่เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ด้วยความเต็มใจของทั้ง 2 ฝ่ายจริง หรือเกิดจากการข่มขืนหรือฆาตกรรมอำพรางด้วยสาเหตุอื่นแล้วอ้างเซ็กซ์บังหน้า


อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้คาดว่าผู้อ่านคงพอเข้าใจโดยสังเขปแล้วว่าที่จริง “เฟมินิสต์ทางเลือก” (Choice Feminism) นั้นไม่ได้ส่งเสริมพลังของผู้หญิงอย่างแท้จริง ในทางตรงข้ามมันคือยาพิษจากแนวคิดเหยียดเพศหญิงที่วิวัฒนาการตามยุคสมัยหลังจากผู้หญิงได้รับสิทธิ์ทางสังคมมากขึ้น ในเมื่อผู้หญิงเริ่มฉลาดจนไม่สามารถปลูกฝังค่านิยมเหยียดเพศแบบตรงๆ ได้แล้วคนที่มีค่านิยมเหยียดเพศเหล่านี้ก็ได้ใช้วิธีแทรกตัวเข้ามายืมรูปแบบภาษาของเฟมินิสต์ เคลือบเปลือกนอกของสิ่งที่กดขี่ด้อยค่าผู้หญิงด้วยคำที่สวยหรูอย่าง “ปลดแอก” หรือ “ส่งเสริมพลังของผู้หญิง” เพื่อล่อลวงผู้หญิงที่ยังขาดประสบการณ์ชีวิตให้ตกเป็นเหยื่อและยอมทำตามสิ่งที่ระบอบปิตาธิปไตยต้องการ


ลองคิดดูง่ายๆ ว่าตั้งแต่โบราณในยุคที่ผู้หญิงยังไม่มีสิทธิ์มีเสียงและต้องพึ่งพาผู้ชายอย่างเดียว สังคมพยายามปลูกฝังมาตลอดให้ผู้หญิงทำตัว “สมหญิง” เป็นแม่บ้านดูแลสามีและลูก ส่วนผู้ชายในสังคมบางส่วนก็สามารถทำได้ทุกอย่างไม่ว่าจะทั้งข่มขู่ ใช้กำลัง หลอกลวง ใช้เงินล่อ ฯลฯ เพื่อใช้ประโยชน์ทางเพศจากผู้หญิง พอเฟมินิสต์ยุคก่อนต่อสู้เพื่อให้ได้ผู้หญิงสิทธิ์ในการทำงานนอกบ้านสามารถพึ่งพาตัวเองจนเริ่มมีสถานะทางสังคมเทียบเท่าผู้ชายได้แล้วทำไมจู่ๆ กลับมี “เฟมินิสต์” อีกกลุ่มลุกขึ้นมาผลักดันให้การทำตัว “สมหญิง” เป็นแม่บ้านแม่เรือน หรือการขายตัวถ่ายหนังโป๊ให้ผู้ชายซื้อขายกลับกลายเป็นเรื่องที่ “ส่งเสริมพลังของผู้หญิง” ? ทำไมสิ่งสุดท้ายที่ผู้หญิงยุคก่อนต้องการ (การเป็นแม่บ้านที่ต้องพึ่งพาสามีอย่างเดียวหรือการขายตัว) กลับกลายเป็นสิ่งที่แสดงถึงความมีอิสระในการเลือกเส้นทางชีวิตและการมีเสรีภาพทางเพศในยุคนี้?


ตามที่ฉันกล่าวไว้แล้วข้างต้น เฟมินิสต์สายเสรีนิยมคือสายที่หาทางอยู่ร่วมกับระบอบปิตาธิปไตยโดยไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างหรือรากฐานของระบบ สำหรับเฟมินิสต์สายนี้การเป็นแม่บ้านที่พึ่งพาสามีหรือการหาเงินจากธุรกิจทางเพศนับเป็นการหาประโยชน์และอยู่ร่วมกับระบอบปิตาธิปไตยตามระบบที่มีอยู่แล้วแม้ว่านั่นหมายถึงสถานะทางของผู้หญิงจะยังถูกกดให้เป็นแค่ “คนใช้” หรือ “วัตถุทางเพศ” ไม่ต่างจากสมัยก่อน เฟมินิสต์สายนี้สนับสนุนการมีอยู่ของระบอบปิตาธิปไตยตราบใดที่ผู้หญิงบางส่วนยังหาประโยชน์จากมันได้


จึงไม่ต้องแปลกใจที่ทำไมเฟมินิสต์สายเสรีนิยมจึงถูกเรียกว่าเป็น “เฟมินิสต์สายหลัก” (Mainstream feminism) และเป็นเฟมินิสต์สายที่ผู้ชายส่วนใหญ่ถึงจะไม่สนับสนุนแต่ก็ไม่คัดค้านการมีอยู่ ต่างจากเฟมินิสต์สายฐานรากหรือสายสังคมนิยมที่มักจะถูกต่อต้าน ก่อกวน กีดขวาง หรือกำจัดจนไม่มีแทบที่ยืนในสังคม



ฉันเคยคิดว่า ถ้าทุกวันนี้ยังมีการค้าทาสอยู่แล้วมีใครสักคนลุกขึ้นมาเคลื่อนไหวเพื่อให้ยกเลิก จะต้องมีพวกเสรีนิยมลุกขึ้นมาต่อต้านคนที่อยากยกเลิกการค้าทาสแน่ๆ โดยเขาจะให้เหตุผลว่า “มีคนที่สมัครใจยอมขายตัวเองเป็นทาสอยู่ การยกเลิกการค้าทาสจึงเป็นการลิดรอนสิทธิ์ในการเลือกทางเดินในชีวิตซึ่งเท่ากับเป็นการละเมิดสิทธิ์มนุษยชนของคนที่อยากเป็นทาส”


ปัจจุบันทุกอย่างเปลี่ยนแปลงเร็วมาก ข้อมูลข่าวสารก็มีมากมายจนยากจะแยกแยะว่าอันไหนจริงอันไหนหลอกลวง การเสพสื่อจึงต้องทำด้วยความรอบคอบและระมัดระวังมากขึ้น ก่อนจะตัดสินใจเชื่ออะไรขอให้พิจารณารอบด้านและทบทวนอย่างถ้วนถี่ มองเจตนาของผู้ผลิตสื่อให้ออกว่าเขาต้องการอะไร? หวังดีกับผู้ที่เสพสื่อจริงหรือมีวาระซ่อนเร้น? ในยุคนี้ผู้ที่หวังดีประสงค์ร้ายมาในคราบนักบุญนั้นมีอยู่มาก และถึงบางคนหรือบางสื่อจะเรียกตัวเองว่า “เฟมินิสต์” แต่ไม่ใช่ว่าทุกคำพูดหรือความคิดที่เขาแสดงออกจะเป็นการส่งเสริมสิทธิ์และบทบาทของผู้หญิง


แม้แต่บทความที่ผู้อ่านกำลังอ่านอยู่นี้ฉันก็ขอให้อ่านแล้วอย่าเพิ่งเชื่อทั้งหมด ลองหาข้อมูลเพิ่มด้วยตนเอง สังเกตสถานการณ์รอบข้างแล้วค่อยตกผลึกจากความรู้และประสบการณ์ของตน ไตร่ตรองก่อนให้คำตอบกับตัวเองว่าควรจะเชื่อหรือไม่และนิยามของ “เฟมินิสต์” ในความคิดของตนควรเป็นอย่างไร


วันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2568

Best Support

 

ยังเล่นแพทช์ 2.8 ไม่จบเลยเขียนมุกที่ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องหลักไปก่อน (ว่าจะทยอยเคลียร์มุกเก่าๆ ที่จดทิ้งไว้แต่มีเยอะมากคงเขียนได้ไม่หมด กลุ้ม...) 


ส่วนผู้อ่านที่ทวงการ์ตูนกับบทความที่ฉันเขียนค้างไว้ ขอบคุณที่อุตส่าห์เคาะมาทวงถาม ตอนนี้ฉันกำลังทยอยทำอยู่ ยังเล่าอะไรให้ฟังมากไม่ได้ไว้ถ้ามีความชัดเจนมากกว่านี้จะมารายงานความคืบหน้านะ


รักผู้อ่านทุกคน

'Wife support' is the Best Support.


Still haven’t finished Patch 2.8, so I’m writing a gag that isn’t tied to the main storyline for now. (I planned to gradually clear out the old ideas I've jotted down, but there are so many that I probably can't get to all of them. Sigh…)


To the readers who’ve been nudging me about the comics and articles I left unfinished—thank you for checking in. I’m working on it bit by bit. I can’t share much yet, but once things are clearer, I'll give an update on the progress.


Love you all


-devilray-

FB and bsky - dfaxtory


#Reverse1999 #Reverse1999Fanat #Windsong #Vila #devilray #dfaxtory