วันอังคารที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เล่าไว้เป็นอุทาหรณ์ : เมื่อบ้านฉันไฟไหม้


ราวๆ 8 โมงเช้า จู่ๆ น้องชายฉันก็โทรศัพท์มา ฉันตื่นขึ้นมาด้วยความโมโหเพราะเพิ่งนอนไปไม่ถึงชั่วโมง แต่พอน้องชายบอกว่า “ไฟไหม้” ก็ทำให้ฉันตาสว่างแล้วรีบขึ้นแท็กซี่กลับบ้านพร้อมคู่หูทันที


ระหว่างทางใจก็นึกสับสนต่างๆ นานาว่าที่น้องชายโทรมา จริงมั้ย? ไฟไหม้แค่ไหน? ใจหนึ่งกังวลแต่อีกใจก็นึกว่า “คงไม่มีอะไรหรอก” เพราะปกติน้องชายจะชอบพูดเวอร์ไว้ก่อนเลยแอบคิดไปว่าไฟคงไหม้นิดเดียวแล้วที่บ้านตื่นตูมกันไปเองมากกว่า


แต่พอกลับไปถึงซอยแถวบ้านตอนเดินเข้าซอยมาเรื่อยๆ ก็เห็นรถปอเต็กตึ้งและไทยมุง ใจคอก็เริ่มไม่ดีเลยรีฝ่าไทยมุงเข้าไปปรากฏว่า ไฟไหม้บ้านฉันจริงๆ และไม่ใช่ไหม้เล็กน้อยแต่เป็นไหม้หมดทั้งหลังแล้วลามไปยังบ้านข้างๆ อีก 5 คูหา (บ้านฉันเป็นตึกแถว) พนักงานดับเพลิงกับหน่วยกู้ภัยกำลังช่วยกันดับเพลิงที่มอดเกือบหมดแล้วอยู่


มันเป็นฉากที่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะเกิดขึ้นกับตัวเอง อย่างมากสุดก็เคยคิดว่าถ้ามีไฟไหม้ก็คงลามจากที่อื่นโดนเล็กๆ น้อยๆ มากกว่า


หลังจากที่หายอึ้งไปแล้วฉันก็รีบมองหาคนในครอบครัวก่อน แล้วก็พอแม่กับน้องสาวเลยได้ถามเรื่องราวจากพวกเขาหลังจากที่ทั้งคู่ให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่เสร็จ


น้องสาวเล่าให้ฟังว่า ตอนที่เธอหลับอยู่ตอนประมาณ 6 โมงเช้าเศษๆ พ่อแม่ออกไปทำงานแล้วก็ได้ยินเสียงคนตะโกนว่า “ไฟไหม้” เลยชะโงกลงไปดูจากหน้าต่างชั้น 2 พอเห็นคนชี้มาทางบ้านตัวเองก็งงๆ เพราะยังไม่มีวี่แววว่าไฟจะไหม้เลย


น้องสาวก็เลยออกมาเปิดประตูชั้น 2 จะลงไปชั้นล่างเพื่อดูว่ามีอะไรหรือไม่ ปรากฏว่าพอเปิดประตูควันก็พุ่งออกมา เธอจึงรีบวิ่งไปชั้น 3 ปลุกน้องชายคนรองแล้วรีบปีนหนีออกมาทางหน้าบ้านชั้น 3 ความจริงชั้น 3 มีเหล็กดัดอยู่แต่โชคดีที่กุญแจที่ล็อกเสียนานแล้ว ทั้งคู่เลยปีนหนีออกไปทางบ้านข้างๆ ที่มีคนรอรับอยู่ได้ ระหว่างปีนมีคนตะโกนให้น้องสาวฉันกระโดดลงมาด้วยทั้งๆ ที่ไม่มีอะไรรองรับข้างล่างเลย โชคดีที่เธอมีสติพอที่จะไม่ทำตาม = =”


พอน้องสาวฉันเล่าจบ ฉันก็ถามถึงพ่อกับน้องชายคนรอง น้องสาวก็บอกว่าทั้งคู่ไปโรงพักเพื่อลงบันทึก แม่ของฉันดูเหมือนจะยังสติแตกอยู่ก็ได้แต่เดินไปมาแถวนั้นแล้วพูดเล่าเรื่องกับไทยมุงด้วยประโยคเดิมๆ ซ้ำๆ เกี่ยวกับไฟไหม้ ซึ่งฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่ควรเลยเพราะจะทำให้มีแต่ลือไปผิด พูดต่อไปผิดแล้วก็ทำให้เสียรูปคดีมากกว่าเดิม แต่ทำอย่างไรก็ห้ามแม่ของฉันไม่ได้เลยได้แต่ปล่อยให้ท่านคุยไปเพราะนี่อาจจะเป็นการระบายความเครียดนะตอนนั้นของท่าน


พวกฉันก็เลยได้แต่นั่งรอพ่อกับน้องชายคนรองกลับมาจากสน. ระหว่างนั้นน้องสาวก็เล่าให้ฟังว่า


ความจริงดับเพลิงมาตั้งแต่ไฟยังไม่ขึ้นถึงชั้น 2 และน่าจะเข้ามาถึงตัวบ้านได้เร็วกว่านี้ถ้าไม่ติด “รถขยะกับไทยมุง” กว่ารถดับเพลิงกับเจ้าหน้าที่จะฝ่า “รถขยะที่ไม่ยอมเลื่อนออก” กับ “ไทยมุงและรถของพวกเขา” ได้ เวลาก็ล่วงไปเป็นชั่วโมง พอฟังอย่างนี้แล้วเริ่มรู้สึกเกลียดไทยมุงขึ้นมาเลย ช่วยก็ไม่ช่วย (จากที่ฉันเห็นไม่มีบ้านไหนหรือคนไหนต่อสายยางหรือถือถังดับเพลิงถังน้ำเลย) ยังทำให้เจ้าหน้าที่ลำบากอีก


ราวๆ เที่ยงพ่อกับน้องชายคนรองก็กลับมาเลยเริ่มโทรหาประกันเพราะมีพ่อคนเดียวที่รู้ว่าทำประกันที่ไหน = =” แถมไม่ได้พกมือถืออีกต่างหาก ประกันที่ทำก็คือประกันทรัพย์สินอย่างเดียวเพราะบ้านเป็นบ้านเซ้งเช่าเลยประกันตัวบ้านไม่ได้


ระหว่างรอก็มีสส.เขตเดินทางมาดู ฉันไม่เห็นเขาทำอะไรเลยนอกจากให้เลขาแนะนำตัวและยกมือรับไหว้


จากนั้นก็มีหน่วยงานบรรเทาทุกข์ต่างๆ ทยอยมาเพื่อเอาเอกสารมาให้กรอกขอรับความช่วยเหลือ เอกสารนี่รวมๆ กันแล้วก็เป็นปึกแถมแต่ละที่ก็จะต้องใช้เอกสารแนบอีกมากมายถึงจะเอาไปยื่นเรื่องได้


ตอนนั้นนึกในใจเลยว่าขนาดฉันมีการศึกษายังมองแล้วเวียนหัวแล้วถ้าเป็นชาวบ้านที่อ่านไม่ออกจะทำอย่างไรเนี่ย = =”


พอประกันมาก็คุยกับประกันแล้วกรอกเอกสารประเมินทรัพย์สินเลยรู้ว่ากว่าประกันจะทำเรื่องได้ต้องรอกองพิสูจน์หลักฐานมาตรวจก่อนแล้วจึงเข้าไปถ่ายรูป เลยนั่งรอกองพิสูจน์หลักฐานกัน ซึ่งกว่ากองพิสูจน์หลักฐานจะมาถึงก็ราวๆ เกือบ 5 โมงเย็นประกันเขาก็เลยกลับไปก่อน


กองพิสูจน์หลักฐานต้องนัดวันเข้ามาใหม่คือวันจันทร์ที่ 30 ตอน 9 โมงเช้าเนื่องจากตึกมีน้ำขังนองบนพื้นราวๆ ฟุตนึงได้ เขาบอกให้เราเอาน้ำออกแล้วเตรียมคนมาเป็นลูกมือขุดซากด้วย ตอนที่ฟังก็สงสัยเหมือนกันว่าปกติของแบบนี้ทิ้งไว้นานจะดีเหรอ แถมชาวบ้านที่หมดตัวอย่างเราจะเอาน้ำออกอย่างไร จ้างคนมาขุดอย่างไร แถมยังไม่ให้เคลื่อนย้ายของแล้วจะหาอะไรมาวิดน้ำกันได้ แต่ก็เถียงอะไรไม่ได้เพราะไม่อยากมีปัญหากับเขา ตอนนี้เราต้องพึ่งความสงสารเขา แล้วระหว่างนั้นเขาก็ให้ล็อกบ้านทิ้งไว้ก่อน วันนี้เลยจบลงที่ทำอะไรต่อไม่ได้


บ้านฉันไหม้ทั้งหลังจนมองเข้าไปไม่เห็นอะไรเลยนอกจากสีดำ ชั้น 2 กับ 3 ที่เป็นพื้นไม้ไหม้หมดโดยที่ชั้น 3 พังลงมาจนแทบไม่เหลือที่ยืนในขณะที่ชั้น 2 ยังเหลือที่ส่วนด้านหน้า บันไดบ้านฉันเป็นไม้หมดก็ไหม้จนไม่เหลือบันไดไว้ขึ้นลงได้อีก


พ่อแม่ฉันเป็นห่วงเซฟกับทองที่อยู่ชั้น 3 แต่ขึ้นไปเอาไม่ได้เพราะไม่มีทางขึ้น แถมคืนก่อนไฟไหม้พ่อฉันเพิ่งเบิกเงินจากธนาคารจนหมดเตรียมเอาไปจ่ายค่าต่างๆ ก็ไว้อยู่ชั้น 3 แม่กับน้องฉันก็ทิ้งเงินสดไว้ในบ้านรวมๆ กันก็หลักแสน ซึ่งตอนนี้ไม่ต้องสืบเลยว่าไฟไหม้ขนาดนี้จะเหลืออะไร = =”


ฉันกับน้องชายคนสุดท้องที่เพิ่งเลิกงานมาถึงวางแผนจะปีนขึ้นชั้น 3 จากข้างบ้านแม้ว่าจะรู้ความหวังน้อยเหลือเกิน แต่พ่อแม่ก็ห้ามไว้ก่อนเลยไม่ได้ปีน


คืนนั้นครอบครัวฉันต้องไปนอนที่บ้านของเพื่อนน้องสาวที่เอื้อเฟ้อให้ ตลอดทั้งวันญาติมิตรเพื่อนฝูงของพวกเราต่างโทรมาสอบถามและให้กำลังใจพร้อมความช่วยเหลือ ทำให้ฉันรู้สึกได้เลยว่าการจะรู้ว่าใครหวังดีและจริงใจกับเราแค่ไหนก็คงมีแต่ต้องดูกันตอนตกยากนี่แหละ เพราะคนที่ฉันไม่คิดว่าจะโทรมาก็โทรมา แต่คนที่ฉันคิดว่าเป็นเพื่อนกลับไม่แม้แต่จะกล่าวคำแสดงความเสียใจอะไรด้วยเลย


คนที่ฉันรู้สึกขอบคุณมากสุดก็คงเป็นเพื่อนน้องสาวฉันเพราะนอกจากจะให้ที่อาศัยกับครอบครัวฉันแล้ว ยังช่วยเป็นธุระให้หลายเรื่อง และอีกคนที่ฉันรู้สึกซาบซึ้งน้ำใจมากๆ ก็คือคู่หูของฉันที่ช่วยจัดการเรื่องเอกสารที่โค.ต.ร.ยุ่งยากให้รวมถึงไปหาข้อมูลกับสอบถามผู้รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปบ้าง ถ้าไม่ได้ 2 คนนี้ครอบครัวฉันคงยังทำอะไรไม่ถูกเลย


อีกเรื่องที่บ้านเราเป็นห่วงมากคือแมวที่เลี้ยงไว้ 4 ตัว ทุกคนพยายามคิดว่ามันคงหนีออกไปได้หมด มี 1 ตัวที่น้องฉันพาไปโรงพยาบาลมันถูกไปครอกจนขนไหม้หมดเลยต้องทิ้งไว้รักษาที่นั่น ก็ได้แต่ภาวนาว่ามันจะหายดี


ความจริงตอนเช้ามีนัดจะไปปีนเอาของบนชั้น 3 แต่ฉันดันไข้ขึ้น


ฉันกลับไปนอนที่อพาร์ทเมนต์ไม่ได้นอนกับครอบครัวเพราะคู่หูฉันต้องเอาเอกสารไปจัดการสแกนจัดเรียงชุดและหาข้อมูลเรื่องคดีความ

พอตอน 4 โมงเย็นถึงจะลุกไหวก็นัดเจอครอบครัวเพื่อให้คู่หูฉันอธิบายเรื่องคดีความให้ฟังว่า บ้านที่เป็นต้นเพลิงจะเจออะไรบ้าง ซึ่งยังไงก็ผิดจะผิดมากหรือผิดน้อยขึ้นอยู่กับว่าไฟไหม้เพราะอะไร แต่แม่ฉันกลับไม่ยอมรับฟังท่าเดียวเพราะคิดว่าตัวเองไม่ผิด ทุกคนก็เลยพยายามอธิบายให้เข้าใจ ฉันก็แอบเหนื่อยใจเล็กน้อยผู้ใหญ่หัวดื้อนี่รับมือยากมากๆ เลย


เรื่องตอนเช้าตอนที่ฉันมีไข้ ที่บ้านจะสูบน้ำชั้นล่างออกหมดโดยที่เพื่อนของน้องไปขอยืมเครื่องสูบน้ำให้ เพื่อนบ้านให้ใช้ไฟฟ้าในบ้าน น้องชายคนสุดท้องก็ปีนไปเอาของบนชั้น 3 มาแล้ว ปรากฏว่าเซฟยังอยู่แต่ของในเซฟไหม้หมด ในเซฟจะเก็บพวกเอกสารกับเงินเก่า ถ้านับมูลค่าก็ไม่เท่าไร ทองที่แม่เก็บไว้ละลายปนกับเขม่าจนเป็นสีดำไปกว่าครึ่ง แต่ก็ยังโชคดีที่ไม่เสร็จพวกขโมยไปก่อน ยังดีที่ได้อะไรกลับมาบ้าง


เรื่องนี้คู่หูฉันไปถามพี่สาวมาแล้ว แบงค์ไหม้ไฟสามารถเอาไปเปลี่ยนที่ธนาคารออมสินได้ พวกเราก็เลยวางแผนว่าหลังกองพิสูจน์หลักฐานมาวันจันทร์จะหาทางไปรวบรวมเศษๆ มาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ส่วนทองแม่ยังเสียดายอยู่เลยไม่มีใครไปอยู่อะไร


วันนี้เลยจบลงแค่คุยทำความเข้าใจเรื่องคดีความ เอกสารและสิ่งที่ต้องทำหลังจากกองพิสูจน์หลักฐานมา



29 พ.ย. 52


ถึงจะเป็นวันอาทิตย์แต่ครอบครัวฉันก็ต้องวิ่งยุ่งเรื่องที่จะหาที่อยู่ต่อไป บ้านที่เพิ่งผ่อนไปงวดเดียวเป็นความหวังสุดท้าย ทั้งบ้านเป็นบ้านเปล่าๆ ที่ไม่มีอะไรเลย วันนี้จึงเป็นวันที่ต้องเข้าไปดูว่ามันพอจะอยู่ได้มั้ย โชคยังดีที่พวกเรายังพอจะมีบุญเหลืออยู่บ้านทำให้อย่างน้อยก็ไม่ต้องไร้ที่อยู่


ฉันเป็นห่วงพ่อแม่มากที่ต้องเจอเหตุการณ์เช่นนี้ตอนอายุมาก ถึงจะอยากอยู่ปลอบแต่มันไม่ช่วยอะไรให้ดีขึ้นเลยจึงตัดสินใจกลับมาทำงานให้เสร็จเร็วที่สุดเผื่อจะได้เงินเพิ่มอีกนิดก็ยังดี


บ้านที่ตั้งใจจะช่วยกันผ่อนให้พ่อแม่อยู่สบายๆ โดยไม่ต้องทำงานตอนแก่หลังนี้ไม่รู้ว่าจะสามารถผ่อนหมดได้หรือเปล่า เป็นเรื่องที่น้องกับฉันต้องช่วยกันให้ผ่านไปให้ได้


บ้านเดิมคงไม่ต้องพูดถึงมันอีกแล้วถ้าเกิดเพลิงไหม้สัญญาเช่าเซ้งถือว่ายุติทันที ไหนจะสภาพที่ซ่อมแซมไม่ได้อีก นอกจากนี้เรายังต้องทำเรื่องการยุติค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าเน็ท แถมเรื่องเอกสารต่างๆ ที่สูญเสียในเพลิงไหม้


ถ้าเป็นเมื่อก่อนสุภาษิตที่บอกว่าโจรขึ้น 10 ครั้งยังไม่เท่ากับไฟไหม้ครั้งเดียวคงจะไม่จริงเท่าไรแล้ว ต้องบอกโจรขึ้น 20 ครั้งเลยต่างหาก เพราะตอนนี้ไม่มีบ้านให้อยู่แล้วยังมีหนี้สินมากมายตามมาอีก



วันนี้ฉันตื่นแต่เช้าจะว่าไปแล้วก็เพราะนอนไม่หลับ เลยไปนั่งเล่นที่มหาลัยฆ่าเวลาพลางคิดพล็อตเรื่องใหม่กับคู่หูที่ต้องเขียนเพิ่มเพราะตอนนี้ที่บ้านกำลังแย่ = =” พอได้เวลาก็ไปที่บ้านเพื่อรอกองพิสูจน์หลักฐาน


เมื่อไปถึงบ้านก็พบเรื่องแปลกๆ คือ ประตูบ้านล็อกตามปกติแต่เปิดออกข้างในกลับมี “ไก่ต้ม” ไก่ต้มจริงๆ เป็นไก่ต้มทั้งตัวแบบไก่ต้มไหว้เจ้า มีอยู่ 2 ตัว ตัวหนึ่งอยู่ในถุงอีกตัวทิ้งไว้ข้างๆ ใกล้ๆ กัน ทุกคนแถวนั้นประหลาดใจมากเพราะซี่ประตูเหล็กหน้าบ้าน มันแคบเกินกว่าที่จะเอาไก่ต้มยัดผ่านเข้ามาได้ นอกจากไก่ต้มแล้วยังมีขวดโค้กกับเป็บซี่ 1.25 ลิตรและกล่องนมโฟร์โมสขนาดลิตรทิ้งไว้


ทุกคนเลยสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นพวกขุดของเก่าแอบเอาของเข้ามากินในนี้ (เขาทนบรรยากาศดีๆ แบบนี้ได้ไง = =”) แถมพวกนี้นอกจากเอาของกินมาทิ้งยังไม่พอ ยังขโมยเชือกกับถุงมือยางที่ฉันเตรียมไว้ขุดซากเอาไปด้วยทั้งหมด พัดลมเพดานก็โดนเอาใบเหล็กไป ซากอะไรอีกหลายต่อหลายอย่างถูกขุดจนกองนูนๆ มันยุบลงไปเห็นได้ชัด อะไรจะเลวครบสูตรปานนั้น


ฉันถึงเข้าใจแล้วว่าทำไมคู่หูฉันถึงบอกให้พยายามหาของออกมาให้มากที่สุดแม้ว่าจะเย็นมืดแล้ว แถมให้พยายามบอกให้ขุดไม่ต้องสนใจเรื่องกองพิสูจน์หลักฐานกับประกันก็เพราะคนพวกนี้นี่เอง


ตอนนั้นฉันน่าจะฟังและยอมเสี่ยงขุดต่อไม่น่ากลัวคำขู่คนข้างบ้านที่บอกว่าเดี๋ยวหลักฐานเปลี่ยน,ประกันไม่จ่ายหรือบ้านจะถล่มลงมาอีกเลย เพราะถามความก็ทำให้รู้ว่ากองพิสูจน์หลักฐานกับประกันเข้าใจเรื่องของมีค่าพวกนี้และอนุญาตให้เคลื่อนย้ายได้ = =” เพื่อนบ้านบางคนที่หวังดีกับเราเกินไปอีกแล้ว


กระป๋องเก็บเงินของแม่ที่ไว้ข้างล่างก็คงไม่พ้นมือคนพวกนี้เพราะตอนเข้าไปฉันเห็นกระป๋องเปล่าที่ไม่บุสลายแต่ด้านในก็ว่างเปล่าด้วย คนพวกนั้นคงขุดเจอก่อนแน่ๆ


ไฟไหม้ยังไม่เจ็บปวดเท่ากับคนกันเองที่ซ้ำเติมกันนี่แหละ


พอกองพิสูจน์หลักฐานมาก็เริ่มการขุดซาก (ทำใจเลยเขานัด 9 โมงเขาจะบอกว่าติดงานอีกที่มาถึงเที่ยง = =” )ตอนแรกฉันกับน้องชายคนสุดท้ายช่วยกันขุดบริเวณใกล้ๆ หลังบ้านตรงที่พื้นชั้น 2 และ 3 ถล่มลงมา (เขาว่าอยากดูพื้นเลยต้องขุด = =”)


แต่เพื่อนน้องสาวเห็นท่าจะไม่เวิร์คก็เลยไปจ้างคนงานที่ขุดลอกท่อมาช่วยขุด 2 คน ปรากฏว่าขุดเร็วกว่าจมเลย ตรงบริเวณที่ขุดมีหนังสือการ์ตูนกับเศษจานชามอยู่มากกองท่วมสูงราวๆ เกือบเมตรได้ (หนังสือการ์ตูนไหม้ไฟแค่ขอบๆ แต่หงิกงอดูแล้วเสียดายมาก)


ระหว่างขุดกองพิสูจน์หลักฐานก็ถามไปเรื่อยๆ ว่าตรงนี้เคยตั้งอะไรไว้ ไอ้นี่อะไร ฯลฯ เข้าใจว่าคงจะเขียนแผนผังด้วย แอบเห็นว่าวันแรกที่มาก็เขียนแผนที่คร่าวๆ ในสมุดแล้ว และพอขุดไปเรื่อยๆ ก็พอกับสิ่งที่ทำให้ทั้งบ้านช็อค


นั่นคือซากแมว...


เป็นซากแมวทั้งตัวที่ไม่บุบสลายอยู่ในท่าเหมือนกำลังเดินไหม้สีดำขึ้นอืดจนตัวแข็ง น้องสาวฉันสลดทันทีเพราะอุตส่าห์คิดในแง่ดีแล้วว่ามันคงหนีไปได้หมดพอมาเจอศพจังๆ ก็เลยทำใจไม่ได้เล็กน้อย พ่อสันนิษฐานว่าตอนไฟไหม้มันคงเห็นใต้ตู้กับข้าวมีช่องว่างเลยมุดเข้าไปหวังว่าจะรอดแล้วพื้นชั้น 2 และ 3 ก็พังถล่มลงมาทับมัน


หลังจากนั้นอีกแป็บหนึ่งก็เจอศพแมวอีกตัวเป็นแมวเปอร์เซียตัวโปรดของน้องสาวติดอยู่หลังบ้าน โดยที่หัวมันติดอยู่ตรงซี่ประตูแล้วมุดออกไปไม่ได้ น้องชายคนสุดท้องเลยเอาศพแมวใส่ถุงดำไว้


หลังกองพิสูจน์หลักฐานตรวจจนพอใจแล้วก็ไม่ได้พูดอะไร เขาก็ไปตรวจบ้านอื่นที่เสียหายต่อ คิดว่าเขาคงเอาหลักฐานไปตรวจแล้วค่อยสรุปผลทีหลัง


วันนี้แม่ฉันร้องไห้ทั้งวันทั้งๆ ที่ 2 วันก่อนตอนเกิดเหตุยังไม่ได้ร้องเลย คู่หูฉันแอบกระซิบว่าน่าจะอยู่ในช่วงซึมเศร้าหลังจากที่ผ่านช่วงตกใจในขั้นแรกมาแล้ว


ฉันเองก็ต้องรีบกลับไปทำงานต่อเลยกำชับน้องชายคนรองกับน้องสาวให้ดูแลแม่ดีๆ ระวังไม่ให้แม่ป่วย คู่หูฉันก็สอนให้น้องฉันจดบัญชีรายรับรายจ่ายเอาไว้ด้วย เพราะบ้านเราไฟไหม้ก็เหมือนอยู่ในสภาพล้มละลายอย่างต่ำก็ 5 ปี จะใช้จ่ายอะไรคงต้องระวังมากๆ เพราะผ่านไป 3 เดือนหลังจากนี้จะเข้าช่วงลำบากอย่างแท้จริงแล้ว


ฉันคงต้องตั้งใจหาเงินมากกว่านี้ หลังจากเขียนงานบอกเล่าความคิดและพิสูจน์อะไรบางอย่างมากกว่าจะหารายได้มานาน ตอนที่ฉันเลือกเป็นนักเขียนการ์ตูนฉันก็เคยบอกตัวเองว่าเรื่องเงินสำหรับฉันมันไม่สำคัญเลย ถ้าฉันอยากได้เงินฉันคงไปทำงานอย่างอื่น


แต่ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าการตัดสินใจของฉันมันช่างเห็นแก่ตัวเหลือเกิน


เงินอาจไม่ใส่สิ่งสำคัญสำหรับตัวฉัน แต่ ณ ภาวะปัจจุบันฉันประจักษ์แล้วว่าฉันไร้ซึ่งพลังใด ๆ ที่จะช่วยโอบอุ้มครอบครัวไว้ได้ แม้แต่เงินที่จะกอบกู้วิกฤติของบ้านก็ยังไม่มี ทำให้ฉันนึกได้ว่าชีวิตของฉันไม่ได้เป็นของฉันคนเดียวแล้ว ฉันควรจะคิดถึงคนอื่นในครอบครัวให้มากกว่านี้


ถ้าเป็นไปได้ฉันไม่อยากทิ้งอาชีพที่ฉันรัก และฉันยังไม่อยากเลิกเขียนการ์ตูนจนกว่าฉันจะได้ท้าทายในสิ่งที่ฉันสงสัย แต่หากฉันทำเต็มที่แล้วก็ยังไม่สามารถหาปัจจัยที่จะมาช่วยเหลือครอบครัวได้เพียงพอ ฉันคงต้องเริ่มหาหนทางใหม่ๆ แม่ว่าหนทางนั้นอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ฉันอยากทำเลยก็ตาม


จากนี้คงเป็นสิ่งที่ครอบครัวและฉันต้องฝ่าอุปสรรคที่สาหัสนี้ไปให้ได้


ส่วนละเอียดของความรู้ต่างๆ ที่เกิดจากเหตุการณ์ครั้งนี้คู่หูฉันจะเรียบเรียงเป็นข้อมูลให้คนอื่นๆ ได้รับทราบเตรียมตัวหรือคนที่ต้องเจอเหตุการณ์เช่นเดียวกับฉันได้มีแนวทางว่าจะต้องทำอะไรบ้าง


ขอบคุณเพื่อนๆ ที่ให้กำลังใจแม้จะเป็นแค่การโทรมาสั้นๆ เพียงไม่กี่นาทีแต่ก็ทำให้ฉันซาบซึ้งว่าฉันยังมีคนที่เป็นห่วงอยู่

27-30 พ.ย. 52 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น